กล่าวนำและทำความเข้าใจ

กล่าวนำและทำความเข้าใจ

Blog นี้จัดทำขึ้นเนื่องจากการที่ตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักการปฏิบัติตนตามหลักคำสอนอย่างถูกต้อง
เพราะในปัจจุบันคนเราเน้นการทำบุญโดยเอาความสะดวกสบายและง่ายเข้าว่า โดยบ้างครั้งอาจจะผิดหลักคำสอนจนความตั้งใจทำบุญจริงๆนั้นกลายมาเป็นบาป และบ้างครั้งอาจจะหลงผิดใช้เงินกับการทำบุญที่ผิดวิธีจนได้บาปเช่นกัน แต่เราก็สามารถทำบุญอย่างง่ายๆและถูกต้องได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้บุญจริงๆ

บทความใน Blog นี้จึงขอมุ่งเน้นหยิบยกเนื้อหาอ้างอิงจากพระไตรปิฏกเป็นหลักและบทความจากผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฏกอย่างจริงจังที่น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน การทำ Blog นี้มีเจตนาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่สำหรับผู้คนอาจจะพบเห็นและได้ศึกษาธรรมมากขึ้น

"การศึกษาอะไรที่ยิ่งใหญ่ อาจจะมาจากเรื่องที่เราสงสัยเล็กๆเพียงเรื่องเดียว"

***ทั้งนี้เนื้อหาที่ได้ลงไปใน Blog ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณและศึกษาจากพระไตรปิฏกควบคู่ไปด้วยเพราะอาจมีการคลาดเคลื่อนของเนื้อหา เพื่อผู้อ่านจะได้รับความรู้ที่ตรงและถูกต้องที่สุดครับ***

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บาปกรรมจากสมัยก่อน

บาปกรรมจากสมัยก่อน


ก่อนหน้าที่จะเขียนบทความนี้ 2-3 วันก่อนนั้นมีข่าวการเสียชีวิตของน้องผู้หญิงหนึ่งคนที่คดีน่าจะเป็นการชิงชิงทรัพย์ธรรมดา แต่โชคร้ายเหลือเกินที่จากที่จะชิงทรัพย์ธรรมดากลายเป็นคดีฆาตกรรมไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าใจอย่างยิ่งของพ่อ แม่ พี่น้อง และครอบครัวของน้องผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้องเขาด้วยครับ

เข้าเรื่องเลยครับ ถ้าใครเคยเดินตลาดสดอาจจะเคยเจอพ่อค้าแม่ขายที่ขายปลา ขายกบ โดยการที่ ถลกหนังกบแล้วก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้นทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ หรืออาจจะเปิดเหงือกปลาออกให้ดูว่าสดจริงแต่ปลาก็ยังมีชีวิตอยู่ 
ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวของร้านอาหารที่ว่าทอดปลาทั้งเป็นมากินเมื่อเป็นอาหารแล้วปลาก็ยังคงมีชีวิตอยู่เพื่อให้เนื้อนั้นหวานและสด
ผมได้อ่านข้อมูลเรื่องการประหารชีวิตของเว็บ www.toptenthailand.com นั้นน่าสนใจครับ และเป็นเป็นคำตอบอย่างดีให้กับยุคสมัยปัจจุบันนี้ได้เลยครับว่าทำไมเขาต้องทำกบอย่างนั้น ทำปลาอย่างนั้น ซึ่งข้อมูลของเว็บ www.toptenthailand.com นั้นรวบรวมการประหารที่โหดร้ายมากครับ เช่น การถลกหนังนักโทษจนตายก็จะเป็นคำตอบของกบที่โดนถลกหนังได้ครับ 
ถ้าใครที่ศึกษาประวัติศสตร์ก็จะทราบว่าในอดีตนั้นมีการฆ่ากัน มีสงคราม หรือการทรมานนักโทษอย่างโหดร้ายทารุณมากครับ ก็ไม่แปลกเลยที่ปัจจุบันนั้นเราจะเห็นภาพที่ไม่ว่าคน หรือสัตว์ต่างๆ เสียชีวิตอย่างทรมาน หรือเสียชีวิตแบแปลกๆครับ ถ้าท่านเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมว่าทำสิ่งใดไว้แล้วได้สิ่งนั้นแน่นอนท่านก็น่าจะเข้าใจครับ

รวบรวมการประหารที่โหดร้าย
http://www.toptenthailand.com/767-top.html


พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 465
๕. ธรรมปริยายสูตร

ว่าด้วยธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสน
[๑๙๓]  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงธรรมปริยายอันเป็นเหตุ
แห่งความกระเสือกกระสนแก่เธอทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี
เราจักกล่าว    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว    พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   ธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความ
กระเสือกกระสนเป็นไฉน   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรม
เป็นกำเนิด   มีกรรมเป็นพวกพ้อง   มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย   กระทำกรรม
อันใดไว้  เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม  ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บุคคลบางคนในโลกนี้   เป็นผู้ฆ่าสัตว์  หยาบ
ช้า   มีมือชุ่มด้วยโลหิต  ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี   ไม่มีความเอ็นดูใน
สัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวง     บุคคลนั้นย่อมกระเสือกกระสน  ด้วยวาจา  ด้วยใจ
กายกรรมของเขาคด   วจีกรรมของเขาก็คด   มโนกรรมของเขาก็คด   คติ
ของเขาก็คด  อุบัติของเขาก็คด  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เรากล่าวคติ ๒ อย่าง
อย่างใดอย่างหนึ่ง  คือ  นรกอันมีทุกข์โดยส่วนเดียว   หรือกำเนิดดิรัจฉาน
อันมีปกติกระเสือกกระสนของบุคคลผู้มีคติคด   ผู้มีอุบัติอันคด.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย      ก็กำเนิดดิรัจฉานมีปกติกระเสือกกระสนนั้น
เป็นไฉน   คือ  งู  แมลงป่อง  ตะขาบ  พังพอน  แมว  หนู   นกเค้าแมว
หรือสัตว์ทั้งหลาย  ผู้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเหล่าใดเหล่าหนึ่ง  แม้อื่นๆ
ที่เห็นมนุษย์แล้วย่อมกระเสือกกระสน  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  การอุบัติของ
สัตว์ย่อมมีเพราะกรรมอันมีแล้ว     ด้วยประการดังนี้แล     คือเขาย่อมอุบัติ
ด้วยกรรมที่เขาทำ   ผัสสะอันเป็นวิบากย่อมถูกต้องเขาผู้อุบัติแล้ว    ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย   เราย่อมกล่าวว่า   สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้รับผลของกรรม   ด้วย
ประการฉะนี้.

อนึ่ง   บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้ลักทรัพย์. . .  เป็นผู้ประพฤติ
ผิดในกาม. . .   เป็นผู้พูดเท็จ. . .    เป็นผู้พูดส่อเสียด. . .    เป็นผู้พูดคำ
หยาบ . . .   เป็นผู้พูดเพ้อเจ้อ . . .   เป็นผู้อยากได้ของผู้อื่น . . .  เป็นผู้คิด
ปองร้าย. . .  เป็นผู้มีความเห็นผิด   คือมีความเห็นวิปริตว่า  ทานที่ให้แล้ว
ไม่มีผล     การเซ่นสรวงไม่มีผล    การบูชาไม่มีผล    ผลวิบากแห่งกรรมที่
บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี  โลกนี้ไม่มี   โลกหน้าไม่มี   มารดาไม่มี   บิดาไม่มี
สัตว์ผู้เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ผู้ปฏิบัติชอบ
ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง      แล้วสอน
ผู้อื่นให้รู้ตาม  ไม่มีในโลก  ดังนี้  บุคคลนั้นย่อมกระเสือกกระสนด้วยกาย
ด้วยวาจา   ด้วยใจ  กายกรรมของเขาคด  วจีกรรมของเขาก็คด   มโนกรรม
ของเขาก็คด  คติของเขาก็คด   การอุบัติของเขาก็คด  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวคติ  ๒ อย่าง  อย่างใดอย่างหนึ่ง   คือนรกอันมีทุกข์โดยส่วนเดียว

หรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานอันมีปกติกระเสือกกระสน    ของบุคคลผู้มีคติอัน
คด  ผู้มีการอุบัติอันคด   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    ก็กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานอันมี
ปกติกระเสือกกระสนนั้นเป็นไฉน  คือ  งู   แมลงป่อง   ตะขาบ   พังพอน
แมว   หนู   นกเค้าแมว       หรือสัตว์ทั้งหลายผู้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน
เหล่าใดเหล่าหนึ่ง  แม้อื่นๆที่เห็นมนุษย์แล้วย่อมกระเสือกกระสน  ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย   การอุบัติของสัตว์ย่อมมี   เพราะกรรมอันมีแล้วด้วยประการ
ดังนี้แล  คือเขาย่อมอุบัติด้วยกรรมที่เขาทำ  ผัสสะอันเป็นวิบากย่อมถูกต้อง
เขาผู้อุบัติแล้ว    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    เราย่อมกล่าวว่า   สัตว์ทั้งหลายย่อม
เป็นผู้รับผลของกรรม    ด้วยประการฉะนี้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย       สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของ ๆ  ตน
เป็นผู้รับผลของกรรม    เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด    มีกรรมเป็นพวกพ้อง
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย   ทำกรรมอันใดไว้  เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม
ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ๆ  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บุคคลบางคนใน
โลกนี้  ละการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  วางทัณฑะ  วางศัสตรา
มีความละอาย    มีความเอ็นดู    มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์
ทั้งปวงอยู่   บุคคลนั้นย่อมไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย  ด้วยวาจา  ด้วยใจ
กายกรรมของเขาตรง     วจีกรรมของเขาก็ตรง     มโนกรรมของเขาก็ตรง
คติของเขาก็ตรง    การอุบัติของเขาก็ตรง    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    เราย่อม
กล่าวคติ  ๒ อย่าง  อย่างใดอย่างหนึ่ง     ของบุคคลผู้มีคติอันตรง  ผู้มีการ
อุบัติอันตรง    คือสัตว์ทั้งหลายผู้มีสุขโดยส่วนเดียว   หรือสกุลที่สูง ๆ คือ
สกุลกษัตริย์มหาศาล   สกุลพราหมณ์มหาศาล   หรือสกุลคฤหบดีมหาศาล
อันมั่งคั่ง  มีทรัพย์มาก  มีโภคะมาก  มีเงินทองมาก  มีเครื่องอุปกรณ์แห่ง
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจมาก  มีทรัพย์และข้าวเปลือกมาก  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
การอุบัติของสัตว์ย่อมมีเพราะกรรมอันมีแล้ว     ด้วยประการดังนี้แล    คือ0
สัตว์นั้น ย่อมอุบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะอันเป็นวิบากทั้งหลายย่อม0ถูก
ต้องเขาผู้อุบัติแล้ว    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   เราย่อมกล่าวว่า   สัตว์ทั้งหลาย
เป็นผู้รับผลของกรรม    ด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง  บุคคลบางคนในโลกนี้    ละการลักทรัพย์   เว้นขาดจากการ
ลักทรัพย์. . .    ละการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการประพฤติผิด
ในกาม. . .    ละการพูดเท็จ    เว้นขาดจากการพูดเท็จ. . .   ละคำส่อเสียด
เว้นขาดจากคำส่อเสียด. . .  ละคำหยาบ   เว้นขาดจากคำหยาบ. . .  ละการ
พูดเพ้อเจ้อ   เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ . . . เป็นผู้ไม่อยากได้ของผู้อื่น. . .
เป็นผู้มีจิตไม่คิดปองร้าย. . .    เป็นผู้มีความเห็นชอบ   คือมีความเห็นไม่
วิปริตว่า  ทานที่ให้แล้วมีผล  การเซ่นสรวงมีผล   การบูชามีผล  ผลวิบาก
แห่งกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วมีอยู่    โลกนี้มี  โลกหน้ามี  มารดามี   บิดามี
สัตว์ทั้งหลายผู้เป็นอุปปาติกะมีอยู่   สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ  ผู้
ปฏิบัติชอบ  ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง
แล้ว   สอนผู้อื่นให้รู้ตาม    มีอยู่ในโลก  ดังนี้   บุคคลนั้นย่อมไม่กระเสือก
กระสนด้วยกาย   ด้วยวาจา   ด้วยใจ   กายกรรมของเขาตรง   วจีกรรมของ
เขาก็ตรง   มโนกรรมของเขาก็ตรง   คติของเขาก็ตรง   การอุบัติของเขาก็
ตรง  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   เราย่อมกล่าวคติ  ๒ อย่าง   อย่างใดอย่างหนึ่ง
ของบุคคลผู้มีคติตรง    ผู้มีการอุบัติตรง   คือสัตว์ทั้งหลายผู้มีสุขโดยส่วน
เดียว  หรือสกุลที่สูง ๆ   คือสกุลกษัตริย์มหาศาล   สกุลพราหมณ์มหาศาล
หรือสกุลคฤหบดีหาศาลอันมั่งคั่ง   มีทรัพย์มาก  มีโภคะมาก   มีเงินทอง
มาก  มีเครื่องอุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจมาก  การอุบัติของสัตว์ย่อมมี
เพราะกรรมอันมีแล้วด้วยประการดังนี้แล     คือ   เขาย่อมอุบัติด้วยกรรมที่
ตนทำไว้   ผัสสะอันเป็นวิบากทั้งหลายย่อมถูกต้องเขาผู้อุบัติแล้ว    ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย   เราย่อมกล่าวว่า  สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้รับผลของกรรม   ด้วย
ประการฉะนี้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน  เป็น
ผู้รับผลของกรรม   เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด   มีกรรมเป็นพวกพ้อง    มี
กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย    ทำกรรมอันใดไว้  เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม
ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    ธรรมปริยายอันเป็น
เหตุแห่งความกระเสือกกระสนเป็นดังนี้แล.

จบธรรมปริยายสูตรที่  ๕

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น