กล่าวนำและทำความเข้าใจ

กล่าวนำและทำความเข้าใจ

Blog นี้จัดทำขึ้นเนื่องจากการที่ตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักการปฏิบัติตนตามหลักคำสอนอย่างถูกต้อง
เพราะในปัจจุบันคนเราเน้นการทำบุญโดยเอาความสะดวกสบายและง่ายเข้าว่า โดยบ้างครั้งอาจจะผิดหลักคำสอนจนความตั้งใจทำบุญจริงๆนั้นกลายมาเป็นบาป และบ้างครั้งอาจจะหลงผิดใช้เงินกับการทำบุญที่ผิดวิธีจนได้บาปเช่นกัน แต่เราก็สามารถทำบุญอย่างง่ายๆและถูกต้องได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้บุญจริงๆ

บทความใน Blog นี้จึงขอมุ่งเน้นหยิบยกเนื้อหาอ้างอิงจากพระไตรปิฏกเป็นหลักและบทความจากผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฏกอย่างจริงจังที่น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน การทำ Blog นี้มีเจตนาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่สำหรับผู้คนอาจจะพบเห็นและได้ศึกษาธรรมมากขึ้น

"การศึกษาอะไรที่ยิ่งใหญ่ อาจจะมาจากเรื่องที่เราสงสัยเล็กๆเพียงเรื่องเดียว"

***ทั้งนี้เนื้อหาที่ได้ลงไปใน Blog ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณและศึกษาจากพระไตรปิฏกควบคู่ไปด้วยเพราะอาจมีการคลาดเคลื่อนของเนื้อหา เพื่อผู้อ่านจะได้รับความรู้ที่ตรงและถูกต้องที่สุดครับ***

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทำบุญให้ปลอดภัย

ทำบุญให้ปลอดภัย


จากที่ได้ศึกษาการทำบุญมาก็พบว่า ที่เราทำบุญกันอยู่ทุกวันนี้นั้นมีความอันตรายแฝงมาด้วย คืออย่างไร
คือเราคิดว่าเราทำบุญ แต่อาจจะได้บาปติดมาด้วย แต่ส่วนใหญ่เราคิดว่าได้บุญมาอย่างเดียว เช่น

ถวายของพระ

- ถ้าถวายสิ่งของถูก คือของที่ถวายไม่ผิดพระวินัย ให้กับ พระที่รักษาศีลดี ก็อาจจะได้แต่บุญอย่างเดียว
- แต่ถ้าถวายสิ่งของที่ผิดพระวินัย เช่น เงิน ทอง ให้พระที่รักษาศีลดี แต่พระไม่ทราบพระวินัย ก็อาจจะได้บาปไป
- หรืออาจจะถวายของถูกกับพระวินัย วิธีการถวายถูกต้อง แต่พระทุศีล ก็อาจจะได้ ทั้งบุญ ทั้งบาป
ประมาณนี้ครับ

โดยการทำบุญนั้น โดยเฉพาะการถวายของกับพระเราต้องศึกษาให้ดี ว่าสิ่งไหนถวายได้หรือถวายไม่ได้ ถวายได้ช่วงไหน พระแบบไหนที่รับได้ พระแบบไหนที่ถวายแล้วจะได้บุญ และพระแบบไหนที่ถวายแล้วได้แต่บาปครับ 
เพราะในปัจจุบันนี้มั่วมากครับ เพราะเราคิดว่าทำบุญคงจะได้แต่บุญอย่างเดียว

ดังนั้นผมจึงคิดว่าเอาของหรือเงินทองที่เราตระเวนทำบุญ หรือไหว้พระที่ต่างๆ ไหว้พระ 7 วัด 9 วัด เสียค่ารถ ค่าน้ำมัน เอาไปให้ พ่อ แม่ เราดีกว่าไหมครับ
ซึ่งผมเป็นคนหนึ่งที่แต่ก่อนเอาเงินไปทำบุญที่ ละ 50 บาท บ้าง 100 บาท บ้าง แต่พอได้ศึกษา และคิดได้ผมก็เสียดายว่าทำไมเราไม่เอาให้แม่เรา พ่อเราบ้าง
คิดดูนะครับว่าตอนไปทำบุญ จะทำ 20 บาท หรือ 50 บาท หรือ 100 บาท คนอื่นเขาจะมองว่าทำน้อย เพราะส่วนใหญ่จะทำเอาหน้ากัน ไม่ใช่ทำเอาบุญ
แต่ถ้าลองเอาเงินจำนวนนั้น ถ้าเงินน้อย 20 บาท 50 บาท ซื้อของกินหรือน้ำให้พ่อแม่ ท่านจะดีกว่าไหมครับ ท่านไม่บ่นด้วยว่าทำไมซื้อมาน้อย มีแต่จะบอกว่าซื้อมาทำไมเปลืองเงินซะมากกว่า
หรือเอาเงิน 100 ให้พ่อ แม่ มันอาจจะดูน้อยนะครับ แต่สำหรับความรู้สึก พ่อ แม่ นั้นมากเหลือเกิน แต่สำหรับเราแล้วก็น้อยกว่าที่ท่านเลี้ยงดูเรามา ส่วนบุญกุศลที่เราได้นั้นเปรียบได้กับทำบุญกับพระอรหันต์เลยทีเดียว และไม่ต้องติดบาปเหมือนกับให้พระด้วยครับ

ก่อนหน้านี้ผมเคยอ่านหนังสือลูกกตัญญูของประเทศจีนครับ เนื้อหาของลูกกตัญญูของแต่ละท่านที่ได้เขียนลงในหนังสือนั้น แต่ละท่านดูแลพ่อ แม่ ท่านอย่างดี จนกระทั้ง พ่อ แม่ ตายจากไป แล้วค่อยไปทำงานบ้าง รับราชการบ้าง จนได้เป็นใหญ่เป็นโตตลอดชีวิตการทำงานของตัวเอง จนวันสุดท้ายที่เสียชีวิตครับ เพราะอานิสงจากการดูแล พ่อ แม่ ครับ

เลยมาคิดว่าตรงกับพระพุทธศาสนาว่าพ่อ แม่ เปรียนดังพระอรหันต์ในบ้าน คือเราอุปฐากเลี้ยงดู พ่อ แม่ เราก็น่าจะได้บุญกุศล เปรียบดัง อุปฐากพระอรหันต์เหมือนกันครับ

น่าคิดไหมครับว่าเรายอมเสียเงินดูดวงหรือสะเดาะเคราะห์ที่ละ 100 200 300 ถึง 500 บาท หรืออาจจะเป็น 1000 บาท เพื่อเสริมให้เราดวงดี ว่าหมอไหนดี ไปหาหมดทุกหมอ หรือทำทุกอย่างเสียเงินมากมายให้เราดวงดีขึ้น แต่ทำไม่เราไม่เอาเงินนั้นให้พ่อแม่เราครับ ?
เมื่อก่อนผมเป็นลูกคนหนึ่งที่ยังไม่ฉลาดเพราะไม่ได้ศึกษาและใส่ใจกับเรื่องนี้ แต่พอมาศึกษาแล้วผมเชื่อว่าถ้าเราเลี้ยงดู ตอบแทนท่านนั้นน่าจะเป็นการเสริมดวงหรือสะเดาะเคราะห์ที่ดีกว่าเอาเงินไปให้พวกหมอดูเป็นไหนๆครับ และเห็นผลแน่นอนครับ

อีกอย่างครับเวลาให้ พ่อ แม่ ควรให้โดยที่อยากให้จริงๆนะครับ เพราะบุญจะมากจะน้อย มันอยู่ที่เจตนาของเราครับ
ถ้าพ่อ แม่ ใคร บอกไม่อยากรับก็บอกก่อนเลยครับว่า "ให้รับเถอะจะได้เป็นบุญ กุศล แก่ลูกหน่อย" ครับ


พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 671
เทพ ๓ เหล่า

เทพ ๓ เหล่า คือ สมมติเทพ  (เทวดาโดยสมมติ) ๑  อุปปัตติเทพ
(เทวดาโดยกำเนิด) ๑  วิสุทธิเทพ  (เทวดาโดยความบริสุทธิ์ ) ๑  ชื่อว่าเทพ
ในคำว่า  ปุพฺพเทวา  นี้.   บรรดาเทพ  ๓  จำพวกเหล่านั้น      กษัตริย์ผู้เป็น
พระราชา    ชื่อว่า  สมมติเทพ.    เพราะว่า  กษัตริย์ผู้เป็นพระราชาเหล่านั้น
ที่ชาวโลกเรียกกันว่า  เทพ  (และ)   เทพี    เป็นผู้ทรงข่มและทรงอนุเคราะห์
ชาวโลกได้เหมือนเทพเจ้า.    เหล่าสัตว์ที่อุบัติขึ้นในเทวโลก     ตั้งแต่เทพชั้น
จาตุมมหาราชิกา   จนถึงภวัคคพรหม   ชื่อว่า   อุปปัตติเทพ.    พระขีณาสพ(พระอรหันต์)
ชื่อว่า   วิสุทธิเทพ   เพราะหมดจดจากกิเลสทั้งมวล.   ในข้อนั้นมีอรรถพจน์
ดังต่อไปนี้.  เหล่าสัตว์ชื่อว่าเทพ  เพราะเล่น,  สนุกสนาน,  เฮฮา,  รุ่งเรื่องอยู่
และชนะฝ่ายตรงข้าม.
บรรดาเทพ ๓ จำพวกเหล่านั้น  วิสุทธิเทพประเสริฐกว่าเทพทุกเหล่า.
วิสุทธิเทพเหล่านั้นมุ่งแต่ความเสื่อมไปแห่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์     และการ
เกิดขึ้นแห่งประโยชน์แก่เขาเหล่านั้น    โดยส่วนเดียว    ไม่คำนึงถึงความผิดที่
พาลชนทำไว้เลย    ปฏิบัติเพื่อประโยชน์  เพื่อเกื้อกูล   เพื่อความสุข  โดยการ
ประกอบพรหมวิหารธรรมตามที่กล่าวแล้ว  และนำความที่สักการะมีผลมากและ
อานิสงส์มากมายมาให้ชนเหล่านั้น      เพราะเป็นทักขิไณยบุคคล  ฉันใด    แม้
มารดาบิดาทั้งหลาย   ก็เช่นนั้น  เหมือนกัน    มุ่งแต่ความเสื่อมไปแห่งสิ่งที่ไม่เป็น
ประโยชน์    และการเกิดขึ้นแห่งประโยชน์แก่เขาเหล่านั้น    โดยส่วนเดียว   ไม่
คำนึงถึงความผิดของบุตรทั้งหลาย   เป็นทักขิไณยบุคคลผู้ยอดเยี่ยม  ปฏิบัติอยู่
เพื่อประโยชน์   เพื่อเกื้อกูล  เพื่อความสุข    เพราะได้พรหมวิหารทั้ง  ๔  อย่าง
โดยนัยที่ได้กล่าวมาแล้ว  นำมาซึ่งความที่อุปการะที่บุตรทำแล้วในตนให้เป็น
อุปการะมีผลานิสงส์มากมาย.   และมารดาบิดาเหล่านั้นเป็นเทพมาแต่ต้นทีเดียว
เพราะมีอุปการะแก่บุตรเหล่านั้น  ก่อนกว่าเทพทั้งมวล. เพราะเหตุนี้   บุตรเหล่านั้น
รู้จักเทพเหล่าอื่นว่าเป็นเทพ  ให้เทพเหล่านั้นพอใจ  เข้าไปนั่งใกล้เทพเหล่านั้น
ครั้นรู้วิธีให้เทพพอใจแล้ว  ปฏิบัติอยู่อย่างนั้น     ก็ได้ประสบผลของข้อปฏิบัตินั้น
ด้วยอำนาจของมารดาบิดาเหล่านั้นก่อน    ฉะนั้น     เทพเหล่าอื่นนั้น    จึงชื่อว่า
เป็นปัจฉาเทพ  (เทพองค์หลัง).  ด้วยเหตุนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   คำว่า  ปุพฺพเทวา  นี้  เป็นชื่อของมารดาบิดาทั้งหลาย.

*********************************************************

บุตรควรทะนุบำรุงมารดาบิดาด้วยสถาน  ๕

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 676

ดูก่อนบุตรคหบดี  มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้า  (ตะวันออก)
บุตรควรทะนุบำรุงด้วยสถาน  ๕   คือ
๑.  ท่านได้เลี้ยงเรามาแล้ว   เราจักเลี้ยงดูท่านเหล่านั้น
๒.  เราจักทำกิจของท่าน
๓.  เราจักดำรงวงศ์ตระกูลไว้
๔.  เราจักปฏิบัติตนเป็นผู้รับมรดก
๕.  เมื่อมารดาบิดาล่วงลับไปแล้ว   เราจักเพิ่มทักษิณาทานให้

ดูก่อนบุตรคหบดี   มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้า    ที่บุตรทะนุบำรุงด้วย
สถาน  ๕  เหล่านี้แล้วแล   จะอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน  ๕  คือ  ๑.  ห้ามบุตรจาก
ความชั่ว  ๒.  ให้บุตรตั้งมั่นอยู่ในความดี    ๓.  ให้บุตรศึกษาเล่าเรียน  ๔.  หา
ภรรยาที่เหมาะสมให้   ๕.  มอบทรัพย์สมบัติให้ในสมัย.  อีกอย่างหนึ่ง  บุตรคนใด
บำรุงมารดาบิดาโดยทำให้เลื่อมใสอย่างยิ่งในวัตถุทั้ง  ๓  (พระรัตนตรัย) ให้ดำรง
อยู่ในศีล   หรือให้ประกอบในการบรรพชา  บุตรนี้   พึงทราบว่าเป็นผู้ล้ำเลิศ
บรรดาผู้บำรุงมารดาบิดาทั้งหลาย.
พระพุทธเจ้า    เมื่อจะทรงแสดงว่า    ก็การบำรุงนี้นั้น     เป็นเหตุ
นำประโยชน์เกื้อกูล   และความสุขในโลกทั้ง  ๒  มาให้แก่บุตรจึงไว้ตรัสไว้ว่า
คนทั้งหลาย  จะพากันสรรเสริญเขา
ในโลกนี้ที่เดียว   เขาละโลกนี้ไปแล้ว  ก็
ย่อมบันเทิงใจในสวรรค์  ดังนี้.

*********************************************************

ว่าด้วยมารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 668
๗. พรหมสูตร

ว่าด้วยตระกูลมีบุตรบูชามารดาบิดา
[๒๘๖]  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    ตระกูลใด    บุตรบูชามารดาและบิดา
อยู่ในเรือนของตน    ตระกูลนั้นชื่อว่ามีพรหม    มีบุรพเทวดา    มีบุรพาจารย์
มีอาหุไนยบุคคล  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  คำว่าพรหม  เป็นชื่อของมารดาและบิดา
คำว่าบุรพเทวดา   เป็นชื่อของมารดาและบิดา   คำว่าบุรพาจารย์  เป็นชื่อของ
มารดาและบิดา  คำว่าอาหุไนยบุคคล  เป็นชื่อของมารดาและบิดา  ข้อนั้นเพราะ
เหตุไร  ? เพราะมารดาและบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก   เป็นผู้ถนอมเลี้ยง   เป็น
ผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร.
มารดาและบิดา  เราตถาคตกล่าวว่า
เป็นพรหม  เป็นบุรพาจารย์  เป็นอาหุไนย-
บุคคลของบุตร  เพราะเป็นผู้อนุเคราะห์
บุตร   เพราะเหตุนั้นแหละ   บัณฑิตพึง
นอบน้อมและพึงสักการะมารดาและบิดา
ทั้งสองนั้น  ด้วยข้าว  น้ำ  ผ้า  ที่นอน
การขัดสี  การให้อาบน้ำ  และการล้างเท้า
บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ  บุคคลนั้น
ในโลกนี้ทีเดียว  เพราะการปฏิบัติในมารดา
และบิดา  บุคคลนั้นละไปแล้ว  ย่อมบันเทิง
ในสวรรค์.


จบพรหมสูตรที่  ๗

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พระ เงิน ทอง สิ่งของ

พระ เงิน ทอง สิ่งของ



ในช่วงนี้มีข่าวเรื่องรถหรูมากมายและเรื่องพระที่มีสิ่งของที่ในธรรมวินัยนี้ดูแล้วอาจจะไม่เหมาะสมอย่างยิ่งครับ เช่น

- ข่าวว่าพระมีเครื่องบินส่วนตัว ใช้ของแบรนด์เนมต่างๆ
- ข่าวว่าพระมีรถหรูหลายคันโดยอ้างว่ารับมาเพื่อลูกศิษย์และใช้ในกิจของสงฆ์

ผมขอยกที่พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนไว้ให้อ่านกันอีก 1 รอบนะครับ


พระไม่สามารถรับเงิน ทอง สิ่งของที่มีค่า หรือแม้กระทั้งซื้อของเองได้

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค

จุลศีล

 [๑๐๓] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล.
             .
             .
             .
             ๑๓. เธอเว้นขาดจากการรับทองและเงิน.
             ๑๔. เธอเว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.
             ๑๕. เธอเว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.
             ๑๖. เธอเว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี.
             ๑๗. เธอเว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.
             ๑๘. เธอเว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.
             ๑๙. เธอเว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.
             ๒๐. เธอเว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.
             ๒๑. เธอเว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.

ดังนั้นการตักบาตรอาหารแห้งก็ผิด หรือไปทำบุญที่วัดซื้อโฉนดที่ดินถวายพระก็ผิด

**************************************************************************

หรือแม้กระทั้งให้คนอื่นรับแทนหรือเก็บไว้ให้ก็ไม่ได้

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒

พระบัญญัติ

             ๓๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงินอันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.

(ต้องอาบัตินิสสัคคีย์    ต้องสละสิ่งของนั้นออกไป    จึงจะพ้นโทษได้)

**************************************************************************

ภิกษุแสวงหาเงิน – ทอง ไม่ใช่สมณะเชื้อสายพระศากยบุตร

พระไตรปิกฏ  เล่ม   9    หน้า   536 

ดูก่อนนายบ้าน  ทองและเงินไม่ควรแก่สมณะเชื้อสายพระศากยบุตรโดยแท้  
สมณะเชื้อสายพระศากยบุตรไม่ยินดีทองและเงิน   สมณะเชื้อสายพระศากยบุตรไม่รับทองและเงิน  สมณะเชื้อสายพระศากยบุตรมีแก้วและทองอันวางเสียแล้ว   ปราศจากทองและเงิน   

**************************************************************************

แค่นี้น่าจะชัดเจนมากๆครับ

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

งานศพ

งานศพ




มีอีก 1 พิธีที่ลองคิดพิจารณาดูแล้วอาจจะไม่ได้บุญกุศล และสิ้นเปลืองเงินทองมากก็คือการจัดงานศพ

เพราะว่าอะไร?
เพราะว่า เราให้เงินพระเป็นค่าสวดศพ ยิ่งสวดหลายวันยิ่งให้เงินพระมาก ยิ่งบาปมาก ยิ่งเป็นหนี้มาก โดยเฉพาะยิ่งบ้านไหนที่รวย เก็บศพไว้ 100 วัน 200 วัน 1 ปี ยิ่งสิ้นเปลืองมากๆ

ลองคิดตามดูนะครับ
- เมื่อมีญาติเสียชีวิต ในศาสนาเราเชื่อว่าต้องทำบุญให้ผู้ตาย เขาจะได้ไปสู่สุคติ
- เราจึงจัดพิธีศพขึ้นและนำเงินให้พระ เพราะว่าในสมัยนี้ไม่มีเงินพระไม่สวดให้ และเรารู้สึกว่าจัดงานให้ผู้ตายแล้ว ผู้ตายจะได้ไปสู่สุคติ แต่ตามที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า ให้เงินกับพระนั้นได้บาป
- ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงผู้ตายถึงจะได้บุญ ?
- ทำบุญให้และอุทิศบุญให้ แต่ต้องทำบุญกับพระที่ไม่ทุศีล
- ถ้าหาพระที่ไม่ทุศีลยากก็ทำกับ พ่อ แม่ พี่ น้องเรา ญาติเราได้เลยครับ
- อย่างเช่นในงานศพจะมีพวกรถขายของต่างๆ เงินที่เราจะใส่ซอง 100-200 เอาไปซื้อไอติม หรือขนม ให้พวกเด็กแถวนั้น ให้พ่อเรา แม่เรา ญาติเรากิน แล้วอุทิศบุญให้ผู้ตาย อย่างนี้น่าจะดีกว่าครับ
- หรือเอาเงินที่จะให้พระไปหาทำบุญที่ถูกต้องวันหลังแล้วอุทิศให้น่าจะดีกว่า
- ส่วนศพนั้นพยายามเผาแบบเรียบง่ายที่สุดครับ ผมเขาใจว่าเรารักและเศร้าเสียใจเป็นธรรมดา  แต่ในทางพระพุทธศาสนานั้นมันคือแค่ซากศพที่ไร้ค่าครับ แต่สิ่งที่เราน่าจะใส่ใจก็คือ ดวงจิต หรือ ดวงวิญญาณของผู้ที่ตาย ที่ยังคงเวียนวายตายเกิดต่อไปครับ


เผาศพพระอรหันต์ไม่ต้องมีพิธีมาก

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 124
๑๐. พาหิยสูตร
ว่าด้วยการตรัสถึงที่สุดทุกข์
.
.
แม้ครั่งที่ ๒ ...แม้ครั้งที่ ๓  พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าว่า   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ     ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดี    ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์
ก็ดี   รู้ได้ยากแล  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรง
แสดงธรรมแก่ข้าพระองค์       ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรมเพื่อประ-
โยชน์เกื้อกูล  เพื่อความสุข   แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า  ดูก่อนพาหิยะ   เพราะเหตุนั้นแล  ท่าน
พึงศึกษาอย่างนี้ว่า     เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น     เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ   เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง   ดูก่อนพาหิยะ
ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล    ดูก่อนพาหิยะ   ในกาลใดแล   เมื่อท่านเห็นจัก
เป็นสักว่าเห็น  เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง  เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ  เมื่อ
รู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง  ในกาลนั้น  ท่านย่อมไม่มี  ในกาลใด  ท่านไม่มี
ในกาลนั้น      ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้     ย่อมไม่มีในโลกหน้า   ย่อมไม่มีใน
ระหว่างโลกทั้งสอง  นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.
ลำดับนั้นแล  จิตของพาหิยทารุจีริยกุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
ทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง   ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า     ลำดับนั้นแล    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนพาหิย-
ทารุจีริยกุลบุตรด้วยพระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว  เสด็จหลีกไป.

[๕๐]  ครั้งนั้นแล  เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน
แม่โคลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต    ครั้นพระผู้มี-
พระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวบิณฑบาตนพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาต
ในเวลาปัจฉาภัต    เสด็จออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก   ได้
ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะทำกาละแล้ว   จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย     ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะ
ยกขึ้นสู่เตียงแล้ว   จงนำไปเผาเสีย   แล้วจงทำสถูปไว้  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอกับท่านทั้งหลาย  ทำกาละ
แล้ว    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว   ช่วยกันยกสรีระของ
พระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง  แล้วนำไปเผา  และทำสถูปไว้   แล้วเข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ   ได้นั่งอยู่  ณ ที่ควรข้างหนึ่ง  ครั้นแล้ว

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บาปกรรมจากสมัยก่อน

บาปกรรมจากสมัยก่อน


ก่อนหน้าที่จะเขียนบทความนี้ 2-3 วันก่อนนั้นมีข่าวการเสียชีวิตของน้องผู้หญิงหนึ่งคนที่คดีน่าจะเป็นการชิงชิงทรัพย์ธรรมดา แต่โชคร้ายเหลือเกินที่จากที่จะชิงทรัพย์ธรรมดากลายเป็นคดีฆาตกรรมไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าใจอย่างยิ่งของพ่อ แม่ พี่น้อง และครอบครัวของน้องผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้องเขาด้วยครับ

เข้าเรื่องเลยครับ ถ้าใครเคยเดินตลาดสดอาจจะเคยเจอพ่อค้าแม่ขายที่ขายปลา ขายกบ โดยการที่ ถลกหนังกบแล้วก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้นทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ หรืออาจจะเปิดเหงือกปลาออกให้ดูว่าสดจริงแต่ปลาก็ยังมีชีวิตอยู่ 
ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวของร้านอาหารที่ว่าทอดปลาทั้งเป็นมากินเมื่อเป็นอาหารแล้วปลาก็ยังคงมีชีวิตอยู่เพื่อให้เนื้อนั้นหวานและสด
ผมได้อ่านข้อมูลเรื่องการประหารชีวิตของเว็บ www.toptenthailand.com นั้นน่าสนใจครับ และเป็นเป็นคำตอบอย่างดีให้กับยุคสมัยปัจจุบันนี้ได้เลยครับว่าทำไมเขาต้องทำกบอย่างนั้น ทำปลาอย่างนั้น ซึ่งข้อมูลของเว็บ www.toptenthailand.com นั้นรวบรวมการประหารที่โหดร้ายมากครับ เช่น การถลกหนังนักโทษจนตายก็จะเป็นคำตอบของกบที่โดนถลกหนังได้ครับ 
ถ้าใครที่ศึกษาประวัติศสตร์ก็จะทราบว่าในอดีตนั้นมีการฆ่ากัน มีสงคราม หรือการทรมานนักโทษอย่างโหดร้ายทารุณมากครับ ก็ไม่แปลกเลยที่ปัจจุบันนั้นเราจะเห็นภาพที่ไม่ว่าคน หรือสัตว์ต่างๆ เสียชีวิตอย่างทรมาน หรือเสียชีวิตแบแปลกๆครับ ถ้าท่านเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมว่าทำสิ่งใดไว้แล้วได้สิ่งนั้นแน่นอนท่านก็น่าจะเข้าใจครับ

รวบรวมการประหารที่โหดร้าย
http://www.toptenthailand.com/767-top.html


พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 465
๕. ธรรมปริยายสูตร

ว่าด้วยธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสน
[๑๙๓]  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงธรรมปริยายอันเป็นเหตุ
แห่งความกระเสือกกระสนแก่เธอทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี
เราจักกล่าว    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว    พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   ธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความ
กระเสือกกระสนเป็นไฉน   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรม
เป็นกำเนิด   มีกรรมเป็นพวกพ้อง   มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย   กระทำกรรม
อันใดไว้  เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม  ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บุคคลบางคนในโลกนี้   เป็นผู้ฆ่าสัตว์  หยาบ
ช้า   มีมือชุ่มด้วยโลหิต  ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี   ไม่มีความเอ็นดูใน
สัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวง     บุคคลนั้นย่อมกระเสือกกระสน  ด้วยวาจา  ด้วยใจ
กายกรรมของเขาคด   วจีกรรมของเขาก็คด   มโนกรรมของเขาก็คด   คติ
ของเขาก็คด  อุบัติของเขาก็คด  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เรากล่าวคติ ๒ อย่าง
อย่างใดอย่างหนึ่ง  คือ  นรกอันมีทุกข์โดยส่วนเดียว   หรือกำเนิดดิรัจฉาน
อันมีปกติกระเสือกกระสนของบุคคลผู้มีคติคด   ผู้มีอุบัติอันคด.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย      ก็กำเนิดดิรัจฉานมีปกติกระเสือกกระสนนั้น
เป็นไฉน   คือ  งู  แมลงป่อง  ตะขาบ  พังพอน  แมว  หนู   นกเค้าแมว
หรือสัตว์ทั้งหลาย  ผู้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเหล่าใดเหล่าหนึ่ง  แม้อื่นๆ
ที่เห็นมนุษย์แล้วย่อมกระเสือกกระสน  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  การอุบัติของ
สัตว์ย่อมมีเพราะกรรมอันมีแล้ว     ด้วยประการดังนี้แล     คือเขาย่อมอุบัติ
ด้วยกรรมที่เขาทำ   ผัสสะอันเป็นวิบากย่อมถูกต้องเขาผู้อุบัติแล้ว    ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย   เราย่อมกล่าวว่า   สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้รับผลของกรรม   ด้วย
ประการฉะนี้.

อนึ่ง   บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้ลักทรัพย์. . .  เป็นผู้ประพฤติ
ผิดในกาม. . .   เป็นผู้พูดเท็จ. . .    เป็นผู้พูดส่อเสียด. . .    เป็นผู้พูดคำ
หยาบ . . .   เป็นผู้พูดเพ้อเจ้อ . . .   เป็นผู้อยากได้ของผู้อื่น . . .  เป็นผู้คิด
ปองร้าย. . .  เป็นผู้มีความเห็นผิด   คือมีความเห็นวิปริตว่า  ทานที่ให้แล้ว
ไม่มีผล     การเซ่นสรวงไม่มีผล    การบูชาไม่มีผล    ผลวิบากแห่งกรรมที่
บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี  โลกนี้ไม่มี   โลกหน้าไม่มี   มารดาไม่มี   บิดาไม่มี
สัตว์ผู้เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ผู้ปฏิบัติชอบ
ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง      แล้วสอน
ผู้อื่นให้รู้ตาม  ไม่มีในโลก  ดังนี้  บุคคลนั้นย่อมกระเสือกกระสนด้วยกาย
ด้วยวาจา   ด้วยใจ  กายกรรมของเขาคด  วจีกรรมของเขาก็คด   มโนกรรม
ของเขาก็คด  คติของเขาก็คด   การอุบัติของเขาก็คด  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวคติ  ๒ อย่าง  อย่างใดอย่างหนึ่ง   คือนรกอันมีทุกข์โดยส่วนเดียว

วิชาพระพุทธศาสนา

วิชาพระพุทธศาสนา



จากที่ผมได้ศึกษาพระธรรมอย่างจริงจังมาสักระยะหนึ่งและได้พูดคุยกับเพื่อนๆเรื่องพระธรรมนั้น ก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมประเทศเรานั้นไม่ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับศาสนาที่ถูกต้องเท่าที่ควรเลยครับ
ส่วนใหญ่ความรู้ที่ให้กับเด็กในประเทศเรานั้นมีแต่ ประวัติพระพุทธเจ้า ประวัติวันสำคัญต่างๆ การปฏิบัติตนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาต่างๆ 
แต่ความจริงนั้น พระพุทธเจ้าเน้นให้ศึกษาธรรม และให้พระธรรมเป็นตัวแทนพระองค์มากกว่าครับ 
แต่ปัจจุบันนั้นวิชาพระพุทธศาสนานั้นมีไว้เพื่อให้รู้ว่าเราเป็นชาวพุทธก็แค่นั้น

ดูจากถ้าเราเป็นชาวพุทธ เมืองพุทธ จริง ทำไมคนเรารักษาศีล 5 ยังไม่ได้เลย เช่น
ทำไมในสังคมยังมีข่าวปล้น ฆ่า ข่มขืนมากขึ้นทุกวัน
ทำไมยังมีการโกงกินกัน ทำไมประเทศเราติดอันอับการโกง การคอรัปชั่นลำดับต้นๆ อันดับ 2 ของเอเชีย
ทำไมประเทศเราติดอันดับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮออันดับต้นๆ 
ทำไมประเทศเราติดอันดับวัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควรอันดับต้นๆ 
เห็นไหมครับว่าที่กล่าวมานั้นอยู่ในศีล 5 ทั้งสิ้นครับ

อย่างน้อยน่าจะสอนเรื่องการทำบุญที่ถูกต้องกับพระที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้ได้บาปก็ยังดี และถ้าคนไทยเรารักษาศีล 5 กันทุกคนหรืออาจจะไม่ครบทั้ง 5 ข้อ อย่างน้อยคนละ 2-3 ข้อได้ เมืองไทยจะน่าอยู่ขึ้น อาชญากรรมจะน้อยลง และน่าจะพูดได้ว่าเราเป็นชาวพุทธ และเมืองพุทธ ได้เต็มปากมากขึ้นครับ


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 320

ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์

[๑๔๑]  ครั้งนั้น    พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า
ดูก่อนอานนท์ บางที่พวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วง
แล้ว   พระศาสดาของพวกเราไม่มี  ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น  ธรรมก็ดี
วินัยก็ดีอันใดอันเราแสดงแล้ว   ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ     ธรรมและวินัย
อันนั้นจักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา.................


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 127

๒. คารวสูตร

ว่าด้วยทรงเคารพธรรม

[๕๕๙]   ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้  :-
สมัยหนึ่ง   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้   ประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ
แถบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา   อุรุเวลาประเทศ.
ครั้งนั้น     ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้
เสด็จเข้าที่ลับ   ทรงพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า   บุคคลผู้ไม่มีที่เคารพ   ไม่มีที่ยำเกรง
ย่อมอยู่เป็นทุกข์   เราจะพึงสักการะ.  เคารพ  อาศัยสมณะหรือพราหมณ์ใครผู้ใด
อยู่หนอ.

[๕๖๐]  ลำดับนั้น   พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพระดำริว่า   เราควรสัก-
การะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่  เพื่อความบริบูรณ์แห่งศีลขันธ์
ที่ยังไม่บริบูรณ์  แต่ว่า  เรายังไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่ถึงพร้อมด้วยศีล
ยิ่งกว่าตนในโลก    พร้อมทั้งเทวโลก  มารโลก  พรหมโลก  ในหมู่สัตว์พร้อม
ทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์      ซึ่งเราควรสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่
เราควรสักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่  เพื่อความบริบูรณ์
แห่งสมาธิขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์  แต่ว่าเรายังไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่ถึง

พระไตรปิกฏ

พระไตรปิกฏ


พระไตรปิฏกนั้นมีในสมัยหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพานแล้ว ๓ เดือน จึงมีการสังคายนา พระไตรปิฎก ครั้งที่ ๑

การสังคายนา พระไตรปิฎก ครั้งที่ ๑
สถานที่ทำ : กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภารบรรพต
เวลาทำ : ทำอยู่ ๗ เดือนจึงสำเร็จ
การกสงฆ์ : พระอรหันต์ขีณาสพ ๕๐๐ รูป
ประธานสงฆ์ : พระมหากัสสปเถระ
ผู้วิสัชชนาพระวินัย : พระอุบาลีเถระ
ผู้วิสัชชนาพระธรรม : พระอานนท์เถระ
ผู้อุปถัมภ์ : พระเจ้าอชาตศัตรู แห่งกรุงราชคฤห์

ขอขอบคุณข้อมูลจากข้อมูลจาก
http://asstudio.info/Library/Council/council.html

จึงมีการนำมาอ้างในปัจจุบันมากมายว่า พระไตรปิฏกเกิดหลังพระพุทธเจ้าปรินิพาน 

"อ้าว!!!....อย่างนี้จะเชื่อดีไหม แล้วจะเชื่ออะไรดี ระหว่างพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ที่ทำสังคายนา หรือเชื่อพระทุศีลในปัจจุบันดี"

ลองคิดดูนะครับว่าความต่างระหว่างเรารักษาศีล 5 ยังไม่ครบทุกข้อ หรือไม่ได้รักษาเลย กับคนที่รักษาศีล 5 ครบบริบูรณ์ มันต่างกันนะครับ
และระหว่างพระทุศีลในปัจจุบัน กับพระอรหันต์ มันจะต่างกันขนาดไหน ลองคิดดูดีๆนะครับ


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 572

อรรถกถาปฐมโอวาทสูตรที่  ๖

พึงทราบวินิจฉัยในปฐมโอวาทสูตรที่  ๖  ดังต่อไปนี้.
บทว่า  อหํ  วา   ถามว่า   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพราะเหตุไร.
ตอบว่า  เพื่อตั้งพระเถระไว้ในฐานะของพระองค์.    ถามว่า   พระสารีบุตร
และพระโมคคัลลานะ  ไม่มีหรือ.   ตอบว่า  มี.   แต่พระองค์ได้มีความดำริ
อย่างนี้ว่า     พระเถระเหล่านี้    จักดำรงอยู่นานไม่ได้.    ส่วนกัสสปมีอายุ
๑๒๐  ปี.   เมื่อเราปรินิพพานแล้ว   กัสสปนั้นจักนั่งในถ้ำสัตตบรรณคูหา
ทำการรวบรวมพระธรรมวินัย    ทำเวลาประมาณ   ๕,๐๐๐  ปี    ของเราให้
เป็นไปได้.    เราจึงตั้งเธอไว้ในฐานะของตน.    พวกภิกษุจักสำคัญคำของ
กัสสปอันตนพึงฟังด้วยดี.  เพราะฉะนั้น  พระองค์จึงตรัสอย่างนี้.   บทว่า
ทุพฺพจา  ความว่า  พวกภิกษุพึงเป็นผู้ว่ายาก.   บทว่า   โทวจสฺสกรเณหิ
คือ  ด้วยการทำให้เป็นผู้ว่ายาก.  บทว่า  อปทกฺขิณคฺคาหิโน   ท่านแสดงว่า
ฟังอนุศาสนีแล้ว  ไม่รับเอาโดยความเคารพ  ไม่ปฏิบัติตามคำสอน  เมื่อไม่
ปฏิบัติ   เป็นผู้ชื่อว่ารับเอาโดยไม่เคารพ.  บทว่า   อจฺจาวทนฺเต     ความว่า
กล่าวเลยไป     คือพูดมากเกินไป      เพราะอาศัยการเรียนพระสูตรมาก.
บทว่า  โก  พหุตร?  ภาสิสฺสติ   ความว่า   เมื่อกล่าวธรรม  ย่อมกล่าวว่า
ใครจักกล่าวธรรมมาก.  ท่านหรือ  หรือว่าเรา.  โก   สุนฺทรตร?   ความว่า
รูปหนึ่ง  แม้เมื่อกล่าวมาก   ย่อมกล่าวไม่ได้ประโยชน์   ไม่ไพเราะ.  รูปหนึ่ง
กล่าวมีประโยชน์  ไพเราะ.  ท่านหมายถึงข้อนั้น   จึงกล่าวว่า  โก   สุนฺทรฺตร?
ดังนี้.   ส่วนรูปหนึ่ง  กล่าวมากละดี    ก็ไม่กล่าวนาน  เลิกเร็ว.  รูปหนึ่ง
ย่อมใช้เวลานาน  ท่านหมายถึงข้อนั้น    จึงกล่าวว่า   โก   จิรตรํ   ดังนี้.

จบอรรถกถาปฐมโอวาทสูตรที่ ๖

เพียงบทนี้ก็ทราบแล้วว่าพระพุทธเจ้าทราบอยู่แล้วว่าต้องมีพระไตรปิฏกเกิดขึ้นแน่นอน และทราบว่าผู้ใดจะเป็นผู้ที่ทำสังคายนา
เท่านี้น่าจะเป็นคำตอบให้ใครหลายๆคนนะครับว่าจะเชื่อหรือศึกษาอะไรครับ

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ธรรมชาติมีกฎกติกา

ธรรมชาติมีกฎกติกา


อาจจะต่อเนื่องจากบทความที่แล้วนะครับ 

ผมขอเปรียบเทียบเหมือนฟุตบอลให้เข้าใจง่ายนะครับว่า ถ้าอยากจะลงเล่นคุณก็ต้องปฏิบัติตามกฎกติกาที่มีอยู่ที่เป็นมาตรฐาน
เช่นกันกับพระ ผู้ที่อยากจะบวชในศาสนานี้ พระวินัยนี้ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎกติกาที่บัญญัติไว้ครับ 
เพราะธรรมที่พระศาสดาตรัสรู้ก็คือกฎกติกาของธรรมชาติของโลกเรานี้ครับ ไม่มีการเปรียนแปลง มีแต่การทำให้หลุดพ้นเท่านั้นครับ
แล้วอย่างนี้จะบอกว่า "ยุคไหน สมัยไหนแล้ว" ได้ไหมครับ ในเมื่อเราอยู่ในธรรมชาติของโลกเรา และกฎกติกามันก็เป็นแบบนี้ครับ


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 438
๑. ปฐมวัชชีสูตร
ว่าด้วยการตรัสรู้และไม่ตรัสรู้อริยสัจ  ๔

[๑๖๙๘]  สมัยหนึ่ง   พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่  ณ  โกฏิคาม  ใน
แคว้นวัชชี  ณ  ที่นั้นแล  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัส
ว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   เพราะไม่ได้ตรัสรู้   ไม่ได้แทงตลอดอริยสัจ  ๔  เรา
ด้วย   เธอทั้งหลายด้วย   จึงแล่นไป   ท่องเที่ยวไปยังสังสารวัฎนี้ตลอดกาลนาน
อย่างนี้   อริยสัจ ๔ เป็นไฉน  คือ  เพราะไม่ได้ตรัสรู้  ไม่ได้แทงตลอดทุกข-
อริยสัจ ๑  ทุกขสมุทยอริยสัจ  ๑   ทุกขนิโรธอริยสัจ  ๑  ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
อริยสัจ  ๑  เราด้วย  เธอทั้งหลายด้วย  จึงแล่นไป    ท่องเที่ยวไปยังสังสารวัฏนี้
ตลอดกาลนานอย่างนี้    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   ทุกขอริยสัจ   เราด้วย   เธอทั้ง
หลายด้วย    ตรัสรู้แล้ว     แทงตลอดแล้ว     ทุกขสมุทยอริยสัจ. . . ทุกขนิโรธ-
อริยสัจ...  ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ  เราด้วย   เธอทั้งหลายด้วย  ตรัสรู้
แล้ว   แทงตลอดแล้ว   ตัณหาในภพขาดสูญแล้ว   ตัณหาที่จะนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว
บัดนี้  ภพใหม่ไม่มี  พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา   ครั้นได้ตรัสไวยากรณ
ภาษิตนี้จบลงแล้ว  จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

[๑๖๙๙ ]           เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔  ตามเป็นจริง
เราและเธอทั้งหลายได้ท่องเที่ยวไปในชาติ
นั้น   ๆ  ตลอดกาลนาน  อริยสัจ  ๔  เหล่านี้
เราและเธอทั้งหลายเห็นแล้ว      ตัณหาที่จะ
นำไปสู่ภพถอนขึ้นได้แล้ว    มูลแห่งทุกข์
ตัดขาดแล้ว  บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.

จบปฐมวัชชีสูตรที่  ๑

ความแปลกของคนไทย

ความแปลกของคนไทย



คนไทยเรารับวัฒนธรรมมาจากหลายที่ ซึ่งว่าด้วยเรื่องที่มีเหตุและผล ว่าด้วยเรื่องปฏิบัติตน จึงจะเชื่ออะไรต้องมีเหตุและผล หรือความเชื่อด้านต่างๆที่ตนคิดว่าดี แต่มีความแปลกที่สังเกตุได้ครับ เช่น
- คนบางพวกไม่เชื่อเรื่อง ดวง โชค ลาง แต่ ห้อยพระ ว่ารุ่นนี้ดี รุ่นนี้ใส่แล้วรวย ใส่แล้วสาวชอบ สาวหลง
- คนบางพวกไม่เชื่อเรื่องปีชง แต่ พอมีเคราะห์เลยเชื่อขึ้นมาทันที
- คนบางคนไม่เชื่อเรื่องดูฤก ยาม การตั้งชื่อ การเปลี่ยนชื่อ แต่ ทำกิจการ หรือค้าขาย ต้องชื่อดีๆไว้ก่อน
- คนบางคนไม่เชื่อเรื่องผี วิญญาณ แต่ ที่บ้านมีศาลพระภูมิ ไหว้เจ้าที่ ไหว้เจ้าทาง และกลัวผีด้วย

และอีกมากมายครับที่ดูแล้วมันขัดกับคำพูดของผู้ที่พูด เช่น อย่าเชื่อเรื่องงมงาย แต่กลับกลัวผี ทั้งที่เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นเหมือนกัน

แต่สำหรับพระพุทธศาสนา ศาสนาประจำชาติเรากับเชื่อกันแบบทิ้งๆขว้างๆ โดยไม่มีการศึกษาอย่างถูกต้อง แล้วกลับทำตามที่ตนคิดว่า "แค่นี้ก็พอแล้ว" (เมื่อก่อนผมก็เป็นเหมือนกันครับ) หรือทำไปเถอะจะผิดหรือถูกมันอยู่ที่ใจ อือ...ถ้าเราซื้อเหล้่ามา แล้วก็เอาไปให้เพื่อนที่เขาชอบเหล้า เราจะได้ทำทาน หรือผิดศีล ครับ

ตัวอย่างเช่น

1.เรื่องพระกับเงิน ก็บอกว่านี้มันสมัยไหนแล้ว สมัยนี้จำเป็นต้องใช้
อันนี้ไม่เถียงครับ แต่มันมีวิธีให้และวิธีใช้ที่ถูกต้องอยู่ ซึ่งไม่ใช้เอาเงินให้พระโดยตรงครับ ถ้าศึกษาดูพระพุทธเจ้าก็มีการอนุโลมเพื่อให้ภิกษุนั้นอยู่ง่าย (ที่ไม่ใช้สบายเกินไปนะครับ) และไม่ถึงกับลำบากจนเกินไปครับ

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะขอบอกเธอทั้งหลาย จะขอเตือนเธอทั้งหลาย การที่บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติสกปรก น่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้าเป็น