กล่าวนำและทำความเข้าใจ

กล่าวนำและทำความเข้าใจ

Blog นี้จัดทำขึ้นเนื่องจากการที่ตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักการปฏิบัติตนตามหลักคำสอนอย่างถูกต้อง
เพราะในปัจจุบันคนเราเน้นการทำบุญโดยเอาความสะดวกสบายและง่ายเข้าว่า โดยบ้างครั้งอาจจะผิดหลักคำสอนจนความตั้งใจทำบุญจริงๆนั้นกลายมาเป็นบาป และบ้างครั้งอาจจะหลงผิดใช้เงินกับการทำบุญที่ผิดวิธีจนได้บาปเช่นกัน แต่เราก็สามารถทำบุญอย่างง่ายๆและถูกต้องได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้บุญจริงๆ

บทความใน Blog นี้จึงขอมุ่งเน้นหยิบยกเนื้อหาอ้างอิงจากพระไตรปิฏกเป็นหลักและบทความจากผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฏกอย่างจริงจังที่น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน การทำ Blog นี้มีเจตนาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่สำหรับผู้คนอาจจะพบเห็นและได้ศึกษาธรรมมากขึ้น

"การศึกษาอะไรที่ยิ่งใหญ่ อาจจะมาจากเรื่องที่เราสงสัยเล็กๆเพียงเรื่องเดียว"

***ทั้งนี้เนื้อหาที่ได้ลงไปใน Blog ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณและศึกษาจากพระไตรปิฏกควบคู่ไปด้วยเพราะอาจมีการคลาดเคลื่อนของเนื้อหา เพื่อผู้อ่านจะได้รับความรู้ที่ตรงและถูกต้องที่สุดครับ***

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

งานศพ

งานศพ




มีอีก 1 พิธีที่ลองคิดพิจารณาดูแล้วอาจจะไม่ได้บุญกุศล และสิ้นเปลืองเงินทองมากก็คือการจัดงานศพ

เพราะว่าอะไร?
เพราะว่า เราให้เงินพระเป็นค่าสวดศพ ยิ่งสวดหลายวันยิ่งให้เงินพระมาก ยิ่งบาปมาก ยิ่งเป็นหนี้มาก โดยเฉพาะยิ่งบ้านไหนที่รวย เก็บศพไว้ 100 วัน 200 วัน 1 ปี ยิ่งสิ้นเปลืองมากๆ

ลองคิดตามดูนะครับ
- เมื่อมีญาติเสียชีวิต ในศาสนาเราเชื่อว่าต้องทำบุญให้ผู้ตาย เขาจะได้ไปสู่สุคติ
- เราจึงจัดพิธีศพขึ้นและนำเงินให้พระ เพราะว่าในสมัยนี้ไม่มีเงินพระไม่สวดให้ และเรารู้สึกว่าจัดงานให้ผู้ตายแล้ว ผู้ตายจะได้ไปสู่สุคติ แต่ตามที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า ให้เงินกับพระนั้นได้บาป
- ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงผู้ตายถึงจะได้บุญ ?
- ทำบุญให้และอุทิศบุญให้ แต่ต้องทำบุญกับพระที่ไม่ทุศีล
- ถ้าหาพระที่ไม่ทุศีลยากก็ทำกับ พ่อ แม่ พี่ น้องเรา ญาติเราได้เลยครับ
- อย่างเช่นในงานศพจะมีพวกรถขายของต่างๆ เงินที่เราจะใส่ซอง 100-200 เอาไปซื้อไอติม หรือขนม ให้พวกเด็กแถวนั้น ให้พ่อเรา แม่เรา ญาติเรากิน แล้วอุทิศบุญให้ผู้ตาย อย่างนี้น่าจะดีกว่าครับ
- หรือเอาเงินที่จะให้พระไปหาทำบุญที่ถูกต้องวันหลังแล้วอุทิศให้น่าจะดีกว่า
- ส่วนศพนั้นพยายามเผาแบบเรียบง่ายที่สุดครับ ผมเขาใจว่าเรารักและเศร้าเสียใจเป็นธรรมดา  แต่ในทางพระพุทธศาสนานั้นมันคือแค่ซากศพที่ไร้ค่าครับ แต่สิ่งที่เราน่าจะใส่ใจก็คือ ดวงจิต หรือ ดวงวิญญาณของผู้ที่ตาย ที่ยังคงเวียนวายตายเกิดต่อไปครับ


เผาศพพระอรหันต์ไม่ต้องมีพิธีมาก

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 124
๑๐. พาหิยสูตร
ว่าด้วยการตรัสถึงที่สุดทุกข์
.
.
แม้ครั่งที่ ๒ ...แม้ครั้งที่ ๓  พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าว่า   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ     ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดี    ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์
ก็ดี   รู้ได้ยากแล  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรง
แสดงธรรมแก่ข้าพระองค์       ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรมเพื่อประ-
โยชน์เกื้อกูล  เพื่อความสุข   แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า  ดูก่อนพาหิยะ   เพราะเหตุนั้นแล  ท่าน
พึงศึกษาอย่างนี้ว่า     เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น     เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ   เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง   ดูก่อนพาหิยะ
ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล    ดูก่อนพาหิยะ   ในกาลใดแล   เมื่อท่านเห็นจัก
เป็นสักว่าเห็น  เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง  เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ  เมื่อ
รู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง  ในกาลนั้น  ท่านย่อมไม่มี  ในกาลใด  ท่านไม่มี
ในกาลนั้น      ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้     ย่อมไม่มีในโลกหน้า   ย่อมไม่มีใน
ระหว่างโลกทั้งสอง  นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.
ลำดับนั้นแล  จิตของพาหิยทารุจีริยกุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
ทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง   ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า     ลำดับนั้นแล    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนพาหิย-
ทารุจีริยกุลบุตรด้วยพระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว  เสด็จหลีกไป.

[๕๐]  ครั้งนั้นแล  เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน
แม่โคลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต    ครั้นพระผู้มี-
พระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวบิณฑบาตนพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาต
ในเวลาปัจฉาภัต    เสด็จออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก   ได้
ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะทำกาละแล้ว   จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย     ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะ
ยกขึ้นสู่เตียงแล้ว   จงนำไปเผาเสีย   แล้วจงทำสถูปไว้  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอกับท่านทั้งหลาย  ทำกาละ
แล้ว    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว   ช่วยกันยกสรีระของ
พระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง  แล้วนำไปเผา  และทำสถูปไว้   แล้วเข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ   ได้นั่งอยู่  ณ ที่ควรข้างหนึ่ง  ครั้นแล้ว

ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   สรีระของพาทิย-
ทารุจีริยะ   ข้าพระองค์ทั้งหลายเผาแล้ว    และสถูปของพาหิยทารุจีริยะนั้น
ข้าพระองค์ทั้งหลายทำไว้แล้ว  คติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเป็นอย่างไร  ภพ
เบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร.
พระผู้มีพระภาณเจ้าตรัสว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    พาหิยทารุจีริยะ.
เป็นบัณฑิต  ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.  ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก   เพราะ
เหตุแห่งการแสดงธรรม  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พาหิยทารุจีริยะปรินิพพาน
แล้ว .
.
.

จบพาหิยสูตรที่  ๑๐

*************************************************************

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 98

พระมหากาลพิจารณาศพกุลธิดา

ลำดับนั้น  กุลธิดาคนหนึ่ง    ได้ทำกาละในเวลาเย็น     ซึ่งยังมิทัน
เหี่ยวแห้ง     ซูบซีด     เพราะพยาธิกำเริบขึ้นในครู่เดียวนั้น.     พวกญาติ
หามศพกุลธิดานั้นไปสู่ป่าช้าในเวลาเย็น  พร้อมด้วยเครื่องเผาต่าง ๆ  มีฟืน
และน้ำมันเป็นต้น   ให้ค่าจ้างแก่หญิงเฝ้าป่าช้า     ด้วยคำว่า     " นางจงจัด
การเผาศพนี้"   ดังนี้แล้ว  มอบ (ศพ)   ให้แล้วหลีกไป.
.
.
.

*************************************************************

ให้อาหารปลาก็อุทิศบุญได้

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 305

ในอดีตกาล   เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระ-
นครพาราณสี    พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลกฎุมพี  พอรู้เดียงสาก็
รวบรวมทรัพย์สมบัติไว้.    และพระโพธิสัตว์นั้นมีน้องชายอยู่คนหนึ่ง.
ในกาลต่อมา   เมื่อบิดาของคนทั้งสองนั้นทำกาลกิริยาไปแล้ว   วันหนึ่ง
พี่น้องทั้งสองนั้นคิดกันว่า     พวกเราจักชำระสะสางการค้าขายอันเป็น
ของบิดาให้เรียบร้อยเสียที         จึงไปยังบ้านหนึ่ง       ได้ทรัพย์พ้น
กหาปณะแล้วกลับมา          บริโภคอาหารห่อแล้วรอเรืออยู่ที่ท่าแม่น้ำ.
พระโพธิสัตว์ได้ให้อาหารที่เหลือแก่ปลาทั้งหลายในแม่น้ำคงคาแล้วให้
ส่วนบุญแก่เทวดาประจำแม่น้ำ.     เทวดาพออนุโมทนาส่วนบุญเท่านั้น
ก็เจริญพอกพูนด้วยยศอันเป็นทิพย์    จึงรำพึงถึงความเจริญยศของตน
ก็ได้รู้ถึงเหตุนั้น. 
.
.
.

*************************************************************

เทน้ำล้างหม้อ หรือ ให้ทานผู้ไม่มีศีลก็ได้บุญ

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 228

เราตถาคตกล่าวอย่างนี้ต่างหาก   วัจฉะ  ว่า  แม้สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ใน
หลุมโสโครกหรือท่อโสโครก  ผู้ใดเทน้ำล้างหม้อก็ดี  น้ำล้างชามก็ดี  ลงไปใน
หลุมและท่อโสโครกนั้น  ด้วยเจตนาให้สัตว์ในนั้นได้เลี้ยงชีพ อย่างนี้เราตถาคต
ยังกล่าวการได้บุญอันมีกิริยาที่ทำอย่างนั้นเป็นมูล จะกล่าวอะไร (ถึงการให้ทาน)
ในผู้ที่เป็นมนุษย์เล่า
แต่นั่นแหละ  วัจฉะ  เราตถาคตกล่าวว่า ทานที่ให้แก่ผู้มีศีลมีผลมาก
หาได้กล่าวอย่างนั้นในผู้ทุศีลไม่  และผู้มีศีลนั้นเป็นผู้ละองค์ ๕   ประกอบด้วย
องค์  ๕  ละองค์  ๕  คืออะไร    คือ  ละกามฉันทะ    พยาบาท    ถีนมิทธะ
อุทธัจจกุกกุจจะ    วิจิกิจฉา    ผู้มีศีลนั้นเป็นผู้ละองค์ ๕ นี้  ประกอบด้วยองค์
๕ คืออะไร   คือ ประกอบด้วยสีลขันธ์  (กองศีล)  สมาธิขันธ์   (กองสมาธิ)
ปัญญาขันธ์  (กองปัญญา)  วิมุตติขันธ์  (กองวิมุตติ)  วิมุตติญาณทัสสนขันธ์
(กองวิมุตติญาณทัสนะ)   อันเป็นอเสขะ   ผู้มีศีลนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยองค์
เราตถาคตกล่าวว่า ทานที่ให้ในผู้มีศีล ที่ละองค์ ๕ ประกอบด้วยองค์ ๕
อย่างนี้   มีผลมาก
.
.
.

*************************************************************

วิธีการอุทิศบุญโดยไม่ต้องกรวดน้ำ(คือไม่มีการกรวดน้ำอุทิศบุญ)

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 365
๒.  สานุวาสีเถรเปตวัตถุ
ว่าด้วยพระเถระทำทานอุทิศถึงเปรต

[๑๑๒]      พระเถระชาวกุณฑินครรูปหนึ่ง   อยู่ที่
ภูเขาสานุวาสี  มีนามว่า  โปฏฐปาทะ  เป็นสมณะ
ผู้มีอินทรีย์อันอบรมดีแล้ว   มารดาบิดาและพี่ชาย
ของท่านเกิดในยมโลก   เสวยทุกขเวทนา  เพราะ
ทำกรรมลามก    จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก   เปรต
เหล่านั้นถึงทุคติ   มีช่องปากเท่ารูเข็ม   ลำบากยิ่ง
นัก   เปลือยกายซูบผอม   มีความเกรงกลัวสะดุ้ง
หวาดเสียวมาก   มีการงานทารุณ ไม่อาจแสดงตน
แก่พระเถระได้  เปรตผู้เป็นพี่ชายของท่านตนเดียว
เปลือยกายรีบไปนั่งคุกเข่าประนมมือแสดงตน
แต่พระเถระ   พระเถระไม่ใส่ใจถึง   เป็นผู้นิ่งเดิน
เลยไป  เปรตนั้นจึงบอกให้พระเถระรู้ว่า  ข้าพเจ้า
พี่ชายของท่านไปสู่เปตโลก      ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
มารดาบิดาของท่านเกิดในยมโลกเสวยทุกข์
เพราะทำบาปกรรม      จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก
เปรตผู้เป็นมารดาบิดาของท่านทั้งสองนั้น   มีช่อง
ปากเท่ารูเข็ม   ลำบากมาก   เปลือยกาย   ซูบผอม
มีความเกรงกลัวสะดุ้งหวาดเสียวมาก   มีการงาน
ทารุณ     ไม่อาจแสดงตนแก่ท่าน    ขอท่านจงเป็น
ผู้มีความกรุณา   อนุเคราะห์แก่มารดาบิดา  จงให้
ทานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้พวกเรา     พวกเรา
ผู้มีการงานอันทารุณ     จักยังอัตภาพให้เป็นไปได้
เพราะทานอันท่านให้แล้ว
พระเถระกับภิกษุอินอีก  ๑๒ รูป  เที่ยวไป
บิณฑบาตแล้ว     กลับมาประชุมในที่เดียวกัน
เพราะเหตุแห่งภัตกิจ     พระเถระจึงกล่าวกะภิกษุ
ทั้งหมดนั้นว่า   ขอทานทั้งหลายจงให้ภัตตาหารที่
ท่านได้แล้วแก่ผมเถิด     ผมจักทำสังฆทานเพื่อ
อนุเคราะห์ญาติทั้งหลาย     ภิกษุเหล่านั้นจึงมอบ
ถวายพระเถระ   พระเถระนิมนต์สงฆ์ถวายสังฆ-
ทานแล้ว     อุทิศส่วนกุศลไปให้มารดาบิดาและ
พี่ชาย   ด้วยอุทิศเจตนาว่า   ขอทานนี้จงสำเร็จแก่
ญาติทั้งหลายของเรา   ขอญาติทั้งหลายจงมีความ
สุขเถิด   ในลำดับที่อุทิศให้นั่นเอง    โภชนะอัน
ประณีต  สมบูรณ์  มีแกงและกับหลายอย่าง  เกิด
ขึ้นแก่เปรตเหล่านั้น
ภายหลัง     เปรตผู้เป็นพี่ชายมีผิวพรรณดี
กำลัง   มีความสุข  ได้ไปแสดงตนแก่พระเถระ
แล้วกล่าวว่า   ข้าแต่ท่านผู้เจริญ   โภชนะอันมาก
มายที่พวกข้าพเจ้าได้แล้ว   แต่ขอท่านจงดูข้าพเจ้า
ทั้งหลายยังเป็นคนเปลือยกายอยู่    ขอท่านจง
พยายามให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ผ้านุ่งผ้าห่มด้วย
เถิด     พระเถระเลือกเก็บผ้าจากกองหยากเยื่อเอา
มาทำจีวรแล้ว   ถวายสงฆ์อันมาแล้วจากจาตุรทิศ
ครั้นถวายแล้วได้อุทิศส่วนกุศลให้มารดาบิดา
และพี่ชาย  ด้วยอุทิศเจตนาว่า  ขอทานนี้จงสำเร็จ
แก่ญาติทั้งหลาย     ขอพวกญาติของเราจงมีความ
สุขเถิด  ในลำดับแห่งการอุทิศนั่นเอง  ผ้าทั้งหลาย
ได้เกิดขึ้นแก่เปรตเหล่านั้น
ภายหลัง  เปรตเหล่านั้นนุ่งห่มผ้าเรียบร้อย
แล้ว   ได้มาแสดงตนแก่พระเถระกล่าวว่า   ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ   ข้าพเจ้าทั้งหลายมีผิวพรรณดี   มีกำลัง
มีความสุข   มีผ้านุ่งผ้าห่มมากกว่าผ้าที่มีในแคว้น
ของพระเจ้านันทราช     ผ้านุ่งผ้าห่มทั้งหลายของ
พวกเรา  ไพบูลย์และมีค่ามาก   คือ   ผ้าไหม   ผ้า
ขนสัตว์  ผ้าเปลือกไม้  ผ้าฝ้าย   ผ้าป่าน   ผ้าด้าย
แกมไหม  ผ้าเหล่านั้นแขวนอยู่ในอากาศ  ข้าพเจ้า
ทั้งหลายเลือกนุ่งห่มแต่ผืนที่พอใจ     (แต่ว่าพวก
ข้าพเจ้ายังไม่มีบ้านเรือนอยู่)   ขอท่านจงพยายาม
ให้พวกข้าพเจ้าได้บ้านเรือนเถิด     พระเถระสร้าง
กุฏีอันมุ่งด้วยใบไม้    แล้วได้ถวายสงฆ์ซึ่งมาแต่
จาตุรทิศ     ครั้นแล้วได้อุทิศส่วนกุศลให้มารดา
บิดาและพี่ชาย  ด้วยอุทิสเจตนาว่า  ขอผลแต่งการ
ถวายกุฏีนี้  จงสำเร็จแก่พวกญาติของเรา  ขอพวก
ญาติของเราจงมีความสุขเถิด     ในลำดับแห่งการ
อุทิศนั่นเอง เรือนทั้งหลาย  คือ ปราสาทและเรือน
อย่างอื่น  ๆ      อันบุญกรรมกำหนดแบ่งไว้เป็น
ส่วน  ๆ   เกิดขึ้นแล้วแก่เปรตเหล่านั้น   เรือนของ
พวกเราในเปตโลกนี้     ไม่เหมือนกับเรือนใน
มนุษยโลก   เรือนของพวกเราในเปตโลกนี้   งาม
รุ่งเรื่องสว่างไสวไปทั่วทั้ง  ๘  ทิศ  เหมือนเรือน
ในเทวโลก   แต่พวกเรายังไม่มีน้ำดื่ม   ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ    ขอท่านจงพยายามให้พวกข้าพเจ้าได้น้ำ
ดื่มด้วยเถิด  พระเถระจึงตักน้ำเต็มธรรมกรก แล้ว
ถวายสงฆ์ซึ่งมาแต่จาตุรทิศ     ครั้นแล้วได้อุทิศ.
ส่วนกุศลให้มารดาบิดาและพี่ชาย     ด้วยอุทิศ
เจตนาว่า    ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่พวกญาติของ
เรา     ขอพวกญาติของเราจงมีความสุขเถิด     ใน
ลำดับแห่งการอุทิศนั่นเอง  น้ำดื่มคือสระโบกขรณี
กว้าง  ๔  เหลี่ยม  ลึก  มีน้ำเย็น  มีท่าราบเรียบ ดี
น้ำเย็นมีกลิ่นหอมหาที่เปรียบมิได้    ดารดาษด้วย
กอปทุมและอุบล  เต็มด้วยละอองเกษรบัวอันร่วง
บนวารี  ได้เกิดขึ้น   เปรตเหล่านั้นอาบและดื่มกิน
ในสระนั้นแล้ว     ไปแสดงตนแก่พระเถระแล้ว
กล่าวว่า     ข้าแต่ท่านผู้เจริญ    น้ำดื่มของพวก
ข้าพเจ้ามากเพียงพอแล้ว     บาปย่อมเผล็ดผลเป็น
ทุกข์แก่พวกข้าพเจ้า   พวกข้าพเจ้าพากันเที่ยวไป
ลำบากในภูมิภาคอันมีก้อนกรวดและหน่อหญ้าคา
ขอท่านพยายามให้พวกข้าพเจ้าได้ยานอย่างใด
อย่างหนึ่งเถิด พระเถระได้รองเท้าแล้ว ถวายสงฆ์
ซึ่งมาแต่จาตุรทิศ    ครั้นแล้วอุทิศส่วนกุศลให้
มารดาบิดาและพี่ชาย   ด้วยอุทิศเจตนาว่า   ขอผล
ทานนี้จงสำเร็จแก่พวกญาติของเรา   ขอพวกญาติ
ของเราจงมีความสุขเถิด     ในลำดับแห่งการอุทิศ
นั่นเอง     เปรตทั้งหลายได้พากันมาแสดงตนให้
ปรากฏด้วยรถ     แล้วกล่าวว่า    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
พวกข้าพเจ้าเป็นผู้อันท่านอนุเคราะห์แล้ว     ด้วย
การให้ข้าว  ผ้านุ่งผ้าห่ม   เรือน  น้ำดื่ม  และยาน
เพราะฉะนั้น     ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงมาเพื่อจะไหว้
ท่านผู้เป็นมุนีมีความกรุณาในโลก.

จบ  สานุวาสีเถรเปตวัตถุที่  ๒

*************************************************************

นี้คือตัวอย่างที่ยกมาให้ศึกษาครับว่าการเผาศพนั้นไม่ได้ยุ่งยากเลย และการทำบุญและอุทิศบุญนั้นแม้แต่ให้สัตว์หรือคนทุศีล(ที่ไม่ใช่พระนะครับ) หรือเทน้ำล้างหม้อโดยเจตนาให้สัตว์ในนั้นได้เลี้ยงชีพได้ก็ยังได้บุญ และทำบุญเสร็จเเล้วไม่มีการกรวดน้ำเข้ามาเกี่ยวเลย แต่สามารถอุทิศบุญได้เลย

เป็นไงบ้างครับถ้าเราอยากให้ญาติเราได้รับบุญจริงๆ เราควรทำอย่างไรครับ เราสามารถทำบุญและส่งผลบุญที่เราทำไปให้ญาติเราได้อย่างมากมายเลยครับ แต่ต้องทำให้ถูกเท่านั้นเองครับ

ทุกวันนี้งานศพกลายเป็นธุรกิจหนึ่งของทางวัดไปแล้วครับ ต้องใช้เงินหลักพัน หลักหมื่น ถึงจะจัดได้ ยิ่งวัดที่อยู่ในเมืองมากเท่าไหร่ยิ่งใช้จ่ายสูงมากยิ่งขึ้นครับ

***ทั้งนี้บทที่ยกมาให้ศึกษาย่อมา ขอให้เข้าไปศึกษาให้จบและครบถ้วนด้วยนะครับ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น