กล่าวนำและทำความเข้าใจ

กล่าวนำและทำความเข้าใจ

Blog นี้จัดทำขึ้นเนื่องจากการที่ตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักการปฏิบัติตนตามหลักคำสอนอย่างถูกต้อง
เพราะในปัจจุบันคนเราเน้นการทำบุญโดยเอาความสะดวกสบายและง่ายเข้าว่า โดยบ้างครั้งอาจจะผิดหลักคำสอนจนความตั้งใจทำบุญจริงๆนั้นกลายมาเป็นบาป และบ้างครั้งอาจจะหลงผิดใช้เงินกับการทำบุญที่ผิดวิธีจนได้บาปเช่นกัน แต่เราก็สามารถทำบุญอย่างง่ายๆและถูกต้องได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้บุญจริงๆ

บทความใน Blog นี้จึงขอมุ่งเน้นหยิบยกเนื้อหาอ้างอิงจากพระไตรปิฏกเป็นหลักและบทความจากผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฏกอย่างจริงจังที่น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน การทำ Blog นี้มีเจตนาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่สำหรับผู้คนอาจจะพบเห็นและได้ศึกษาธรรมมากขึ้น

"การศึกษาอะไรที่ยิ่งใหญ่ อาจจะมาจากเรื่องที่เราสงสัยเล็กๆเพียงเรื่องเดียว"

***ทั้งนี้เนื้อหาที่ได้ลงไปใน Blog ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณและศึกษาจากพระไตรปิฏกควบคู่ไปด้วยเพราะอาจมีการคลาดเคลื่อนของเนื้อหา เพื่อผู้อ่านจะได้รับความรู้ที่ตรงและถูกต้องที่สุดครับ***

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รู้ไหมทำอาชีพเหล่านี้อาจได้บาป ?

รู้ไหมทำอาชีพเหล่านี้อาจได้บาป ?



ในปัจจุบันคนเราสนับสนุนให้ทำบาปกันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น พวกขายประกัน พวกขายของ หรือพวกขายตรง
ทำไมถึงพูดอย่างนั้นหละ ?
ลองคิดดูดีๆนะครับว่าอาชีพเหล่าหนี้บางทีต้องบิดเบือนความจริงกับลูกค้าเพื่อให้ได้ยอดตามที่หวัง หรืออาจจะโกหกไปเลยก็ได้
อย่างนี้ถือว่าผิดศีลข้อที่ห้ามโกหกไหมครับ ?
และการทีต้องบิดเบือนความจริง เพื่อให้ได้เงินของเขามา อาจจะเป็นการเข้าข่ายการลักขโมย คือผิดศีลการลักทรัพย์ หรือไม่ ? น่าคิดไหมครับ

ทางโลก
การพูดเท็จ คือ การกล่าวเรื่องที่ไม่เป็นความจริงทั้งหมด ให้เข้าใจว่าเป็นความจริงทั้งหมดโดยเจตนา
การลักทรัพย์ คือ ผู้บังอาจเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยการทุจริตและโดยเจ้าทรัพย์มิได้อนุญาตให้

ทางธรรม
การพูดเท็จ คือ การเปล่งวาจาที่ให้เข้าใจทางวาจาของบุคคลผู้จงใจจะพูดให้คลาดจากความเป็นจริง
การลักทรัพย์ คือ  การลักทรัพย์มีองค์ประกอบ ๕ ประการ   คือของที่คนอื่นหวงแหน ๑    ความรู้ว่าเป็นของที่คนอื่นหวงแหน ๑    จิตคิดจะลัก ๑   ความพยายาม  (จะลัก) ๑   ลักของได้มาด้วยความพยายามนั้น ๑

ใกล้เคียงกันไหมครับ

แต่พวกที่ทำอาชีพนี้เขาเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "การกระตุ้นยอดขาย" ครับ
ผู้ที่ทำอาชีพนี้อยู่หรือคิดที่จะทำ ขอให้ทำอย่างตรงไปตรงมา แต่ผมเข้าใจนะว่าบ้างครั้งการพูดแต่ความจริงไม่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นหรือได้เงินมากขึ้นครับ
แต่ถ้าเราได้เงินมากขึ้น ชีวิตดีขึ้นจากเงินนั้นด้วยวิธีเหล่านี้ บาปเราก็จะยิ่งมากขึ้นตามจำนวนเงินนั้นไปด้วยนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พิธีเวียนเทียน


พิธีเวียนเทียน


บทความนี้เขียนขึ้นเนื่องจากวันวิสาขบูชาที่ผ่านมาเกี่ยวกับประเพณีการเวียนเทียนของชาวไทย ชาวพุทธ
ในสมัครก่อนผมเป็นคนหนึ่งที่ไปเวียนเทียนและชวนเพื่อนไปเวียนเทียนในวันสำคัญต่างๆ เพราะคิดว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง แต่พอมาศึกษาดูและคิดทบทวนดีๆแล้ว การเวียนเทียนนั้นทำเพื่ออะไร และจะได้บุญขนาดไหน

- เวียนเทียนเพื่ออะไร?
1.เพื่อสืบสานพระพุทธศาสนา แต่คนเราไม่ได้ศึกษาดูก่อนว่าสืบสานอย่างไรถึงจะถูกต้องตามคำสอนจริงๆ และตอนที่เราเป็นนักเรียนในบทเรียนก็สอนเราอย่างนี้ หรืออีก 1 อย่างคือเราทำตามปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ เรามา พาทำกันผิดหรือถูกก็ทำตามกันมา
อย่างวันก่อนนั้นมีพิธีถ่ายทอดทางโทรทัศน์อย่างใหญ่โตพร้อมด้วยผู้มีชื่อเสียงมากมาย แต่ทำไม่ผู้ที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นไม่พาผู้คนที่เขาศรัทธาทำให้ถูกต้องตามหลักธรรมจริงๆ

- เวียนเทียนได้บุญมากน้อยขนาดไหน?
1.อาจจะได้บุญมากในแง่การระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือ การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์อันมาจากจาตุรทิศ
แต่ทุกวันนี้เรานับถือถูกหรือไม่ ศีล 5 เรารักษาครบหรือยัง(ตอบตัวเอง แบบไม่หลอกตัวเองนะครับ)

2.ถ้าบอกว่าอาจจะได้บาป คือ พระต้องนำชาวบ้านเวียนเทียนก่อนแน่นอนครับ
พระผิดศีล ผิดที่1
วัดห้ามจัดงานวัด ผิดที่ 2
ถ้ายิ่งจัดขายดอกไม้ธูปเทียนในวัด ผิดที่ 3

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 315
.
.
.
มหาศีล
(๑๑๔ )  ๑. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉาน-
วิชา   เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก  ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วย
ศรัทธาแล้ว    ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้    คือ  ทาย
อวัยวะ  ทายนิมิต  ทายฟ้าผ่าเป็นต้น  ทำนายฝัน  ทำนายลักษณะ ทำนาย
หนูกัดผ้า    ทำพิธีบูชาไฟ    ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน.......................

แล้วอย่างนี้คิดว่าได้บุญหรือไม่ครับ

จากที่ศึกษาพระไตรปิฏกมาสักระยะหนึ่งก็พบว่าทุกวันนี้เราทำผิดกันมากแล้วก็อ้างเหตุผลต่างๆนาๆ ไปทั่ว โดยไม่ยอมศึกษาสิ่งที่ถูกต้องจริงๆกัน

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ฉันเพล

ฉันเพล


อีก 1 สิ่งที่ผมคิดว่าเราทำกันมาผิดโดยตลอดและเราไม่ทราบครับ
คือการฉันเพล ก็ไม่ทราบว่ามีมาแต่ตอนไหน หรือว่าอย่างไร

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ - หน้าที่ 500
โภชนวรรค  สิกขาบทที่  ๕
เรื่องภิกษุหลายรูป
[๔๙๙]  โดยสมัยนั้น   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  
อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พราหมณ์
คนหนึ่งนิมนต์ภิกษุทั้งหลายให้ฉัน   ภิกษุทั้งหลายฉันเสร็จ  ห้ามภัตแล้ว   ไปสู่
ตระกูลญาติ  บางพวกก็ฉันอีก   บางพวกก็รับบิณฑบาตไป   หลังจากเลี้ยงพระ
แล้ว    พราหมณ์ได้กล่าวเชิญชวนพวกเพื่อนบ้านว่า    ท่านทั้งหลาย    ข้าพเจ้า
เลี้ยงภิกษุให้อิ่มหนำแล้ว   มาเถิด   ข้าพเจ้าจักเลี้ยงท่านทั้งหลายให้อิ่มหนำบ้าง.
พวกเพื่อนบ้านพากันกล่าวแย่งอย่างนี้ว่า     ท่านจักเลี้ยงพวกข้าพเจ้า
ให้อิ่มได้อย่างไร   แม้ภิกษุทั้งหลายที่ท่านนิมนต์ให้ฉันแล้ว    ยังต้องไปที่เรือน
ของพวกข้าพเจ้า   บางพวกก็ฉันอีก  บางพวกก็รับบิณฑบาตไป.
จึงพราหมณ์นั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า     พระคุณเจ้าผู้เจริญ
ทั้งหลายฉันที่เรือนของเราแล้ว     ไฉนจึงได้ฉัน  ณ ที่แห่งอื่นอีกเล่า     ข้าพเจ้า
ไม่มีกำลังพอจะถวายให้พอแก่ความต้องการหรือ.
ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินพราหมณ์นั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่  บรรดา
ที่เป็นพวกมักน้อย. . .  ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า    ไฉนภิกษุทั้งหลาย
ฉันเสร็จ  ห้ามภัตแล้ว   จึงได้ฉัน   ณ  ที่แห่งอื่นอีกเล่า . . . แล้วกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่าภิกษุทั้งหลายฉันเสร็จ   ห้ามภัตแล้ว   ยังฉัน  ณ  ที่แห่งอื่นอีก   จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า   จริง   พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนนั้นแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    ไฉน
ภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นฉันเสร็จ   ห้ามภัตแล้ว   จึงได้ฉัน  ณ ที่แห่งอื่นอีกเล่า
การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น     ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของ
ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส   หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย     ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้ :-

พระบัญญัติ
๘๔.  ๕.  ก.  อนึ่ง  ภิกษุใดฉันเสร็จ  ห้ามภัตแล้ว  เคี้ยวก็ดี
ฉันก็ดี   ซึ่งของเคี้ยวก็ดี  ซึ่งของฉันก็ดี  เป็นปาจิตตีย์.
ก็สิกขาบทนี้   ย่อมเป็นอัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.

เรื่องภิกษุหลายรูป  จบ

เรื่องอาหารเดน
[๕๐๐]  ก็โดยสมัยนั้นแล     ภิกษุทั้งหลายนำบิณฑบาตอันประณีตไป
ถวายพวกภิกษุอาพาธ   พระภิกษุอาพาธฉันไม่ได้ดังใจประสงค์   ภิกษุทั้งหลาย
จึงทิ้งบิณฑบาตเหล่านั้นเสีย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับเสียงนกการ้องเกรียวกราว     ครั้นแล้วได้

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คนเหมือนกันย่อมคบคนที่เหมือนกัน


คนเหมือนกันย่อมคบคนที่เหมือนกัน



พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 466

[๓๙๒]  ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี   กรุงสาวัตถี.  ณ  ที่นั้นแล  พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า  พระเจ้าข้า.
[๓๙๓]   พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัตว์ทั้งหลาย   ย่อมคบค้ากัน  ย่อมสมาคมกัน  โดยธาตุเทียว  คือ พวกทำ
ปาณาติบาต    ย่อมคบค้ากัน  ย่อมสมาคมกันกับพวกทำปาณาติบาต  พวก
ทำอทินนาทาน    ย่อมคบค้ากัน    ย่อมสมาคมกันกับพวกทำอทินนาทาน
พวกทำกาเมสุมิจฉาจาร    ย่อมคบค้ากัน   ย่อมสมาคมกันกับพวกทำกาเม-
สุมิจฉาจาร     พวกมุสาวาท     ย่อมคบค้ากัน     ย่อมสมาคมกันกับพวก
มุสาวาท       พวกดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
ย่อมคบค้ากัน        ย่อมสมาคมกันกับพวกดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็น
ที่ตั้งแห่งความประมาท.
[๓๙๔]  พวกเว้นขาดจากปาณาติบาต   ย่อมคบค้ากัน   ย่อมสมา-
คบกันกับพวกเว้นขาดจากปาณาติบาต         พวกเว้นขาดจากอทินนาทาน
ย่อมคบค้ากัน    ย่อมสมาคมกันกับพวกเว้นขาดจากอทินนาทาน   พวกเว้น
ขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร ย่อมคบค้ากัน   ย่อมสมาคมกันกับพวกเว้นขาดจาก
กาเมสุมิจฉาจาร  พวกเว้นขาดจากมุสาวาท  ย่อมคบค้ากัน  ย่อมสมาคมกัน
กับพวกเว้นขาดจากมุสาวาท     พวกเว้นขาดจากดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท    ย่อมคบค้ากัน     ย่อมสมาคมกันกับพวก
เว้นขาดจากดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท.
จบปัญจสิกขาปทสูตรที่  ๓

จากข้อความในพระไตรปิฏกในบทนี้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสอย่างยิ่ง ยิ่งในสังคมปัจจุบันนี้ เช่น
- คนโกหกก็ชอบคบหากันและไม่แสดงความจริงใจแก่กัน โกหกกัน
- คนชอบตกปลาล่าสัตว์ก็ตั้งชมรมกันขึ้นและก็พากันไปตกปลาล่าสัตว์กัน
- คนชอบดื่มเหล้าก็คบกันชวนกันไปดื่มเหล้า
ซึ่งตัวอย่างพวกนี้จะเห็นได้ง่ายและชัดเจนมากครับ

แต่อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าในกลุ่มเพื่อนที่คบหากันนั้นยังมีผู้ที่จะค่อยชักจูงเพื่อนไปในทางที่ดีและไปในทางธรรมอยู่ครับ
"คนที่มีศีล มีธรรม ย่อมคบหากับคนที่มีศีล มีธรรม" จริงไหมครับ

การเรียนการสอนของเมืองพุทธ


การเรียนการสอนของเมืองพุทธ

เมื่ออาทิตย์ก่อนผมได้ดูข่าวแล้วก็เกิดความรู้สึกเศร้าใจนิดๆครับว่าช่วงเริ่มมีการเปิดเทอมแล้ว  

ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง จึงมีการจัดกิจกรรมรวมกันสำหรับครู นักเรียน และผู้ปกครอง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่มีช่วงที่ออกข่าวแล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่น่าเศร้าครับ คือมีการจับหมูป่า ในตอนแรกนั้นผมก็คิดว่าเป็นกิจกรรมสนุกๆเฉยๆ 

แต่พบจบแล้วในข่าวระบุว่า มีการให้หมูป่าเป็นรางวัล ซึ่งน่าจะเป็นลูกหมูป่าอยู่ครับ 

ผมจึงกลับมาคิดว่าทำไม่คนไทยเราสนับสนุนให้คนเราทำบาปกันจังเลย และในข่าวนั้นเป็นเด็กๆที่เข้ารวมกิจกรรมกันทั้งจับปลา และจับหมูป่า

พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่ามันเป็นกรรมของใครของมัน เขาต้องเคยทำก่อนในชาติก่อน แล้วชาตินี้ถึงถูกกระทำ

ในยุคนี้คนเราสอนให้เอาชีวิตรอดกับธรรมชาติแต่สอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับ "ธรรม" กันน้อยมากจริงๆ

ซึ่งจริงๆก็เป็นกรรมใครกรรมมันจริงๆ แต่พอดูแล้วรู้สึกหดหู่ใจจริงๆครับว่าทำไมผู้ใหญ่สอนให้เด็กทำบาปตั้งแต่ยังเด็ก? แล้วในอนาคตจะไม่ยิ่งไปกว่านี้หรือ?

มีใครคิดอย่างผมบ้างไหมครับ?

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การรดน้ำมนต์


การรดน้ำมนต์


ช่วงนี้ที่บ้านผมเขากำลังหิตรดน้ำมนต์มากครับ ซึ่งแต่ก่อนสมัยเด็กก็ชอบพาผมไปรดน้ำมนต์ที่วัด แต่พอมาปัจจุบันนี้พอมาได้ศึกษาจริงๆก็เกิดข้อสงสัยว่ารดน้ำมนต์ไปทำไม ?
1.ปีชง ?
- ปีชงเป็นของศาสนาอะไร ? แล้วรดน้ำมนเป็นของศาสนาอะไร ? แล้วคนละศาสนากันช่วยกันได้ไหม ? 
2.เป็นศิริมงคล
- ทำไมถึงคิดอย่างนั้น ถ้าคิดดูดีๆแล้วก็จะ  อ๋อ...ให้พระอาจารย์วัดต่างๆทำ เพราะว่าท่านบวชมานาน พรรษาเยอะ ถ้าเป็นพระหนุ่มๆคงจะไม่น่าจะขลัง ต้องพระที่บวชนานๆ ทรงศรี ถึงจะดี

มาดูความจริงกันนะครับ

พระพุทธเจ้าห้ามพระทำน้ำมนต์ ลงยันต์ เจิมบ้าน เจิมรถ นี้ก็เป็นศีลเหมือนกัน

แสดงว่าพระที่ทำทำน้ำมนต์ ลงยันต์ เจิมบ้าน เจิมรถ ก็ถือว่าทุศีลหรือผิดศีล แล้วอย่างนี้น้ำมนต์ที่ทำจะขลังจริงไหม หรือจะช่วยอะไรเราได้ไหมครับ ? ลองคิดกันดูครับ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 318

(๑๒๐)  ๗.  ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉาน-
วิชา   เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก   ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วย
ศรัทธาแล้ว     ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้    คือ   ทำ
พิธีบนบาน    ทำพิธีแก้บน    ร่ายมนต์ขับผี    สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน
ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย     ทำชายให้กลายเป็นกะเทย     ทำพิธีปลูกเรือน
ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่   พ่นน้ำมนต์   รดน้ำมนต์   ทำพิธีบูชาไฟ   ปรุงยา
สำรอก    ปรุงยาถ่าย    ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน    ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง
ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ    หุงน้ำมันหยอดหู    ปรุงยาตา   ปรุงยานัตถุ์   ปรุงยา
ทากัด    ปรุงยาทาสมาน    ป้ายยาตา    ทำการผ่าตัด    รักษาเด็ก    ชะแผล
แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลองเธอประการหนึ่ง.
(๑๒๑)   มหาบพิตร  ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้    ย่อมไม่ประสบ
ภัยแต่ไหน ๆ เลย  เพราะศีลสังวรนั้นเปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษก