ถ้าพูดชื่อบุคคลผู้หนึ่งขึ้นมาผมเชื่อว่าทุกท่านคงจะรู้จักกันแน่นอน คือ พระแม่ธรณี
เรื่องของท่านผู้นี้มีอยู่ว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้นั้นมีพญามารมาขัดขวาง และพระแม่ธรณีผู้นี้ได้ปรากฏตัวเพื่อยืนยันถึงบุญบารมีที่พระพุทธเจ้าได้ทำไว้อย่างมากมาย และได้บิดมวยผมจนทำให้น้ำท่วมเหล่ามาร จนเหล่ามารนั้นก็หนี้ไปจนหมด
แต่พอไปอ่านในพระไตรปิฏกกลับไม่มีพระแม่ธรณีผู้นี้อยู่ครับ !!!
ข้างซ้ายก็อย่างนั้น
แต่ข้างหลัง ตั้งอยู่สุดจักรวาล เบื้องบนสูง ๙ โยชน์.
ได้ยินเสียงคำราม
ดังเสียงแผ่นดินคำราม ตั้งแต่เก้าพันโยชน์.
สมัยนั้น
ท้าวสักกเทวราช ทรงยืนเป่าสังข์ ชื่อวิชยุตตระ เขาว่า
สังข์นั้น
ยาวสองพันศอก. คนธรรพ์เทพบุตรชื่อปัญจสิขะ ถือพิณสีเหลืองดัง
ผลมะตูม
ยาวสามคาวุตบรรเลง ยืนขับร้องเพลงประกอบด้วยมงคล ท้าว-
สุยามเทวราช
ทรงถือทิพยจามร อันมีสิริดังดวงจันทร์ยามฤดูสารท ยาวสาม
คาวุต
ยืนถวายงานพัดลมอ่อน ๆ. ส่วนท้าวสหัมบดีพรหม ยืนกั้นฉัตรดัง
จันทร์ดวงที่สอง
กว้างสามโยชน์ ไว้เบื้องบนพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้แต่
มหากาฬนาคราช
อันนาคฝ่ายฟ้อนรำแปดหมื่นแวดล้อม ร่ายคาถาสดุดีนับร้อย
ยืนนมัสการพระมหาสัตว์
เทวดาในหมื่นจักรวาล บูชาด้วยพวงดอกไม้หอม
และจุรณธูปเป็นต้น
พากันยืนถวายสาธุการ.
ลำดับนั้น
เทวบุตรมารขึ้นช้างที่กันข้าศึกได้ เป็นช้างที่ประดับด้วย
รัตนะ
ชื่อคิริเมขละ งามน่าดูอย่างยิ่ง เสมือนยอดหิมะคิรี
ขนาดร้อยห้าสิบ
โยชน์
เนรมิตแขนพันแขน ให้จับอาวุธต่าง ๆ ด้วยการจับอาวุธที่ยังไม่ได้จับ.
แม้บริษัทของมารมีกำลังถือดาบ
ธนู ศร หอก ยกธนู สาก ผาล เหล็กแหลม
หอก หลาว หิน
ค้อน กำไลมือ ฉมวก กงจักร เครื่องสวมคอ ของมีคม มี
หน้าเหมือนกวาง
ราชสีห์ แรด กวาง หมู เสือ ลิง งู แมว นกฮูก และมี
หน้าเหมือนควาย
ฟาน ม้า ช้างพลายเป็นต้น มีกายต่าง ๆน่ากลัว น่าประหลาด
น่าเกลียด
มีกายเสมือนมนุษย์ยักษ์ปีศาจ ท่วมทับพระมหาสัตว์โพธิสัตว์ ผู้
ประทับนั่ง ณ
โคนโพธิพฤกษ์ เดินห้อมล้อม ยืนมองดูการสำแดงของมาร.
แต่นั้น
เมื่อกองกำลังของมาร เข้าไปยังโพธิมัณฑสถาน บรรดาเทพ
เหล่านั้น
มีท้าวสักกะเป็นต้น เทพแม้แต่องค์หนึ่ง ก็ไม่อาจจะยืนอยู่ได้.
เทพ
ทั้งหลายก็พากันหนีไปต่อหน้า
ๆ นั่นแหละ ก็ท้าวสักกะเทวราช ทำวิชยุตตร-
สังข์ไว้ที่ปฤษฎางค์
ประทับยืน ณ ขอบปากจักรวาล. ท้าวมหาพรหม วาง
เศวตฉัตรไว้ที่ปลายจักรวาลแล้วก็เสด็จไปพรหมโลก.
กาฬนาคราชก็ทิ้งนาค-
นาฏกะไว้ทั้งหมด
ดำดินไปยังภพมัญเชริกนาคพิภพลึก ๕๐๐ โยชน์ นอนเอา
มือปิดหน้า
ไม่มีแม้แต่เทวดาสักองค์เดียว ที่จะสามารถอยู่ในที่นั้นได้. ส่วน
พระมหาบุรุษ
ประทับนั่งอยู่แต่ลำพัง เหมือนมหาพรหมในวิมานว่างเปล่า. นิมิต
ร้าย
ที่ไม่น่าปรารถนาเป็นอันมากปรากฏก่อนทีเดียวว่า บัดนี้ มารจักมา
ดังนี้.
เมื่อเวลาการยุทธของพระยามาร
และของพระ-
ผู้เผ่าพันธุ์แห่งไตรโลก
ดำเนินไปอยู่ อุกกาบาตอัน
ร้ายกาจก็ตกลงโดยรอบ
ทิศทั้งหลายก็มืดคลุ้มด้วยควัน.
แผ่นดินแม้นี้ไม่มีใจ
ก็เหมือนมีใจ ถึงความ
พลัดพราก
เหมือนหญิงสาวพลัดพรากสามี แผ่นดิน
ที่ทรงสระต่าง
ๆ พร้อมทั้งสาครก็หวั่นไหว เหมือน
เถาวัลย์ต้องลมพัดแรง.
มหาสมุทรก็มีน้ำปั่นป่วน
แม้น้ำทั้งหลายก็ไหล
ทวนกระแส
ลำต้นไม้ต่าง ๆ ก็คดงอแตกติดดินแห่ง
ภูผาทั้งหลาย.
ลมร้ายก็พัดไปรอบ
ๆ มีเสียงอึกทึกครึกโครม
ความมืดที่ปราศจากดวงอาทิตย์
ก็เลวร้าย ตัวกะพันธ์
ก็ท่องไปกลางหาว.
เขาว่า
ลางร้ายอันพิลึก ดังกล่าวไม่น่าเจริญใจ
ไม่น่าปรารถนา
ทั้งที่อยู่ในอากาศและที่อยู่ภาคพื้นดิน
เป็นอันมาก
ก็มีโดยรอบในขณะที่มารมา.
ส่วนหมู่เทพทั้งหลาย
เห็นมารประสงค์จะประ-
หารพระมหาสัตว์
ผู้เป็นเทพแห่งเทพนั้น ก็เอ็นดู
พร้อมด้วยหมู่เทพก็พากันทำเสียงว่า
หา หา.
แม้ภายหลัง
ก็เห็นมารนั้น พร้อมทั้งกองกำลัง
เป็นอันมาก
ที่ฝึกมาดีแล้ว พากันหนีไปในทิศใหญ่
ทิศน้อย
อาวุธในมือก็ตกไป.
พระผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
ผู้แกล้วกล้า ปราศจาก
ภัย
ประทับนั่งอยู่ท่ามกลางกองกำลังของมาร เหมือน
พระยาครุฑอยู่ท่ามกลางฝูงวิหค
เหมือนราชสีห์ผู้ยิ่งยง
อยู่ท่ามกลางฝูงมฤคฉะนั้น.
ครั้งนั้น
มารคิดว่า จักยังพระสิทธัตถะให้กลัวแล้วหนีไป แต่ไม่อาจ
ให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วยฤทธิ์มาร
๙ ประการ คือ ลม ฝน ก้อนหิน เครื่อง
ประหาร ถ่านไฟ
ไฟนรก ทราย โคลน ความมืด มีใจขึ้งโกรธ บังคับ
หมู่มารว่า
พนาย พวกเจ้าหยุดอยู่ไย จงทำสิทธัตถะให้ไม่เป็นสิทธัตถะ จง
จับ จงฆ่า
จงตัด จงมัด จงอย่าปล่อย จงให้หนีไป ส่วนตัวเองนั่งเหนือ
คอคชสารชื่อคิรีเมขละ
ใช้กรข้างหนึ่งกวัดแกว่งศร เข้าไปหาพระโพธิสัตว์
กล่าวว่า
ท่านสิทธัตถะ จงลุกขึ้นจากบัลลังก์. ทั้งหมู่มารก็ได้ทำความบีบคั้น
ร้ายแรงยิ่งแก่พระมหาสัตว์.
ครั้งนั้น
พระมหาบุรุษตรัสคำเป็นต้นว่า ดูก่อนมาร ท่านบำเพ็ญ
บารมีเพื่อบัลลังก์มาแต่ครั้งไร
แล้ว ทรงน้อมพระหัตถ์ขวาสู่แผ่นปฐพี. ขณะนั้น
นั่นเอง
ลมและน้ำที่รองแผ่นปฐพี ซึ่งหนาหนึ่งล้านหนึ่งหมื่นสี่พันโยชน์ ก็ไหว
ก่อนต่อจากนั้น
มหาปฐพีนี้ ซึ่งหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็ไหว ๖ ครั้ง. สายฟ้า
แลบและอสนีบาตหลายพันเบื้องบนอากาศ
ก็ผ่าลงมา. ลำดับนั้น ช้างคิรีเมขละ
ก็คุกเข่า.
มารที่นั่งบนคอคิรีเมขละ ก็ตกลงมาที่แผ่นดิน. แม้พรรคพวกของ
มารก็กระจัดกระจายไปในทิศใหญ่ทิศน้อย
เหมือนกำแกลบที่กระจายไปฉะนั้น.
ลำดับนั้น
แม้พระมหาบุรุษ ทรงกำจัดกองกำลังของมารพร้อมทั้งตัว
มารนั้น
ด้วยอานุภาพพระบารมีทั้งหลายของพระองค์ มีขันติ เมตตา วิริยะ
และปัญญาเป็นต้น
ปฐมยามทรงระลึกถึงขันธ์ที่อาศัยมาแต่ก่อน มัชฌิมยาม
ทรงชำระทิพยจักษุ
ปัจจุสมัยใกล้รุ่ง ทรงหยั่งญาณลงในปัจจยาการที่พระพุทธ-
เจ้าทุกพระองค์ทรงปฏิบัติมา
ทรงยังจตุตถฌานมีอานาปานะเป็นอารมณ์ให้เกิด
แล้ว
ทรงทำจตุตถฌานนั้นให้เป็นบาทแล้ว ทรงเจริญวิปัสสนา ทรงยังกิเลส
ทั้งปวงให้สิ้นไปด้วยมรรคที่
๔ ซึ่งทรงบรรลุมาตามลำดับมรรค ทรงแทงตลอด
พระพุทธคุณทั้งปวง
ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงปฏิบัติมา ทรงเปล่งพระ-
พุทธอุทานว่า
อเนกชาติสสาร สนฺธาวิสฺส อนิพฺพิส
คหการ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุน
คหการก
ทิฏฺโสิ ปุน เคห น
กาหิสิ
สพฺพา เต
ผาสุกา ภคฺคา คหกูฏ วิสงฺขต
วิสงฺขารคต จิตต ตณฺหาน ขยมชฺฌคา.
เราแสวงหานายช่างผู้สร้างเรือนคือตัณหา
เมื่อ
ไม่พบ
ก็ต้องท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมาก
การเกิดบ่อย ๆ
เป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้สร้างเรือน
คือตัณหา
เราพบท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนแก่เรา
อีกไม่ได้แล้ว
โครงสร้างเรือนของท่าน เราก็หักหมด
แล้ว
ยอดเรือนคืออวิชชา เราก็รื้อเสียแล้ว จิตเราถึง
วิสังขาร
ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ เพราะเราบรรลุธรรมที่
สิ้นตัณหาแล้ว.
จึงแปลกใจว่าแล้วที่เราเรียนมานั้นมันมาจากไหนครับ ???
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น