กล่าวนำและทำความเข้าใจ

กล่าวนำและทำความเข้าใจ

Blog นี้จัดทำขึ้นเนื่องจากการที่ตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักการปฏิบัติตนตามหลักคำสอนอย่างถูกต้อง
เพราะในปัจจุบันคนเราเน้นการทำบุญโดยเอาความสะดวกสบายและง่ายเข้าว่า โดยบ้างครั้งอาจจะผิดหลักคำสอนจนความตั้งใจทำบุญจริงๆนั้นกลายมาเป็นบาป และบ้างครั้งอาจจะหลงผิดใช้เงินกับการทำบุญที่ผิดวิธีจนได้บาปเช่นกัน แต่เราก็สามารถทำบุญอย่างง่ายๆและถูกต้องได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้บุญจริงๆ

บทความใน Blog นี้จึงขอมุ่งเน้นหยิบยกเนื้อหาอ้างอิงจากพระไตรปิฏกเป็นหลักและบทความจากผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฏกอย่างจริงจังที่น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน การทำ Blog นี้มีเจตนาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่สำหรับผู้คนอาจจะพบเห็นและได้ศึกษาธรรมมากขึ้น

"การศึกษาอะไรที่ยิ่งใหญ่ อาจจะมาจากเรื่องที่เราสงสัยเล็กๆเพียงเรื่องเดียว"

***ทั้งนี้เนื้อหาที่ได้ลงไปใน Blog ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณและศึกษาจากพระไตรปิฏกควบคู่ไปด้วยเพราะอาจมีการคลาดเคลื่อนของเนื้อหา เพื่อผู้อ่านจะได้รับความรู้ที่ตรงและถูกต้องที่สุดครับ***

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บัญญัติสิกขาบท

บัญญัติสิกขาบท


ขณะนี้มีเรื่องพระออกมาอย่างมากมาย เพราะว่าอะไร ?
ในความคิดของผมนั้นในปัจจุบันถ้าใครมาพูดเรื่องศาสนา หรือพระนิพพาน คนอื่นเขาจะมองว่าเรา บ้า ครับ  เพราะว่าโลกนั้นก้าวไปเร็วและมีวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ทั้งที่คนไทยก็พูดกันว่าเป็นพุทธ นับถือพุทธ แต่พอพูดเรื่องพระนิพพานที่เป็นหัวใจของศาสนากลับโดนมองว่าไร้สาระ ผมก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
แต่ก็ว่ากันไม่ได้ครับก่อนหน้าที่ผมจะมาศึกษาเรื่องนี้ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องไกลเกินตัวเองเช่นกัน แต่พอศึกษาแล้วมันไม่ได้ไกลเกินไปเลยครับ
สุดท้ายก็มีข่าวออกมามากมายครับว่าพระเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ปฏิบัติตนเหมาะสมหรือไม่ แล้วเราก็ว่าแต่พระฝ่ายเดียว  กลับไม่มองดูตัวเราเลยว่าเราเคยศึกษาที่ถูกต้องไหม  สิ่งของที่นำไปถวายถูกต้องตามพระวินัยไหมพระสามารถรับไว้ได้หรือเปล่า  เพราะพระส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ศึกษาเช่นเดียวกับเราครับ
และคำพูดสุดคลาสสิค 1 คำ คือ "นี้มันสมัยไหนแล้ว" นี้ละครับคือสิ่งที่ส่งเสริมให้ทั้งคนทั้งพระเป็นแบบทุกวันนี้

ในการบัญญัติสิกขาบทพระพุทธเจ้าอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ  ซึ่ง ๑๐ ประการนั้นครอบคลุมและถือว่าไม่ได้ทำให้พระภิกษุผู้ปฏิบัตินั้นอยู่ยากครับ และป้องกันสิ่งต่างๆที่จะทำให้ศาสนาเสื่อม และท่านระบุชัดเจนว่ามีท่านผู้เดียวที่สามารถบัญญัติสิกขาบท และบทลงโทษต่างๆได้ครับ


การบัญญัติสิกขาบทพระพุทธเจ้าอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ ดังนี้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   เพราะเหตุนั้นแล    เราจักบัญญัติสิกขาบท
แก่ภิกษุทั้งหลาย  อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ    คือ  
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์  ๑     
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑     
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑     
เพื่อยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก  ๑      
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะเกิดในปัจจุบัน  ๑       
เพื่อกำจัดอาสนะอันจักบังเกิดในอนาคต  ๑    
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑   
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว  ๑ 
เพื่อความตั้งมั่น แห่งพระสัทธรรม ๑   
เพื่อถือความพระวินัย  ๑

*******************************************************

พระพุทธเจ้าสามารถบัญญัติสิกขาบทได้เพียงผู้เดียว

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 236

เพราะฉะนั้น   ธรรมดาว่าการทรงบัญญัติสิกขาบท   ในเมื่อเรื่องลง
กันได้อย่างนี้ว่า  นี้โทษเบา  นี้โทษหนัก   นี้เป็นความผิดแก้ไขไม่ได้   นี้
เป็นอาบัติ   นี้ไม่เป็นอาบัติ    นี้เป็นอาบัติถึงชั้นเด็ดขาด     นี้เป็นอาบัติถึง
ขั้นอยู่กรรม  นี้เป็นอาบัติขั้นแสดง  นี้เป็นโลกวัชชะ  นี้เป็นปัณณัตติวัชชะ
ควรบัญญัติข้อนี้เข้าในเรื่องนี้   ดังนี้  ในการทรงบัญญัติสิกขาบทนั้น  ผู้อื่น
ไม่มีปรีชาสามารถ      เรื่องนี้มิใช่วิสัยของผู้อื่น     เป็นวิสัยของพระตถาคต
เท่านั้น.  ดังนั้น   การที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงถึงฐานะ  คือ ทรงบัญญัติ
พระวินัยดังนี้   ทรงบันลือจึงเป็นการยิ่งใหญ่   พระปรีชาญาณก็ติดตามมา
ประกอบด้วยสุญญตา   ดังนี้แล.

*******************************************************

ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าพระปฏิบัติตามธรรมวินัยให้ถูกต้องสมกับที่บวชในศาสนานี้ และคนอย่างน้อยศึกษาพระไตรปิฏกฉบับประชาชนให้รู้ว่าสิ่งไหนควร ไม่ควร ถูก หรือ ผิด ประเทศไทยเราน่าจะน่าอยู่มากขึ้นกว่านี้อีกมากครับ และพระจะเป็นเนื้อนาบุญ  เพื่อให้โยมได้ทำบุญ  ที่ได้บุญจริงๆ  กันอย่างมากมายครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น