กล่าวนำและทำความเข้าใจ

กล่าวนำและทำความเข้าใจ

Blog นี้จัดทำขึ้นเนื่องจากการที่ตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักการปฏิบัติตนตามหลักคำสอนอย่างถูกต้อง
เพราะในปัจจุบันคนเราเน้นการทำบุญโดยเอาความสะดวกสบายและง่ายเข้าว่า โดยบ้างครั้งอาจจะผิดหลักคำสอนจนความตั้งใจทำบุญจริงๆนั้นกลายมาเป็นบาป และบ้างครั้งอาจจะหลงผิดใช้เงินกับการทำบุญที่ผิดวิธีจนได้บาปเช่นกัน แต่เราก็สามารถทำบุญอย่างง่ายๆและถูกต้องได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้บุญจริงๆ

บทความใน Blog นี้จึงขอมุ่งเน้นหยิบยกเนื้อหาอ้างอิงจากพระไตรปิฏกเป็นหลักและบทความจากผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฏกอย่างจริงจังที่น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน การทำ Blog นี้มีเจตนาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่สำหรับผู้คนอาจจะพบเห็นและได้ศึกษาธรรมมากขึ้น

"การศึกษาอะไรที่ยิ่งใหญ่ อาจจะมาจากเรื่องที่เราสงสัยเล็กๆเพียงเรื่องเดียว"

***ทั้งนี้เนื้อหาที่ได้ลงไปใน Blog ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณและศึกษาจากพระไตรปิฏกควบคู่ไปด้วยเพราะอาจมีการคลาดเคลื่อนของเนื้อหา เพื่อผู้อ่านจะได้รับความรู้ที่ตรงและถูกต้องที่สุดครับ***

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

ไหว้พระจันทร์

ไหว้พระจันทร์


ประเพณีไหว้พระจันทร์...ต้องบอกก่อนว่าผมเข้าใจว่าเป็นความเชื่อและประเพณีของคนบางชนชาติครับ...ก่อนหน้าที่ผมจะมาศึกษาพระธรรมผมก็ไหว้ผี ไหว้เจ้า ดูดวง เช่นกันครับ

บทความนี้ผมจะขอเสนอแนวคิดแบบเป็นกลางที่สุดลองให้ได้พิจารณากันดูนะครับ

ไหว้พระจันทร์...การที่เราจะไหว้ใครสักคนหรืออะไรสักอย่าง ผมคิดว่าใครคนนั้นหรือสิ่งนั้นๆต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ หรืออาจจะพูดง่ายๆว่ามีประโยชน์ มีคุณค่า ก็น่าจะได้ครับ เช่น ไหว้เจ้า ไหว้ศาล เพราะคิดว่า จะให้เจ้าที่เจ้าทางต่างๆ ช่วยเหลือเรา เป็นต้น

ดังนั้นผมจะขอสรุปโดยยึดเหตุผลจากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ และความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองว่า การไหว้พระจันทร์ (ผมไม่เคยไหว้มาก่อนนะครับ) คงจะเป็นการขอพรอะไรประมาณนี้ ให้เจริญรุ่งเรืองดังนั้นพระจันทร์ต้องมีคุณค่าและประโยชน์

ถ้างั้นผมขอหยิบยกมาให้คิดกันว่า ระหว่างดวงจันทร์กับโลก ที่เราอาศัยอยู่ ดวงไหมมีคุณค่าหรือประโยชน์กว่ากัน

พระจันทร์เพาะปลูกอะไรขึ้นไหม??...พระจันทร์มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ไหม??

ต่างจากโลกที่เราอาศัยอยู่...ที่เราอาศัยเพาะปลูกเลี้ยงชีพ ที่เราใช้ทรัพยากรอย่างมากมาย หลายอย่างเพื่อความสะดวกสบายของตัวเรา

เพียงเท่านี้พอจะสรุปตามเหตุและผล ได้หรือไหมครับว่าระหว่างโลกกับดวงจันทร์สิ่งไหนมีประโยชน์ มีคุณค่า หรือว่าถ้าจะไหว้เราควรจะไหว้สิ่งไหนมากกว่ากัน

ถ้าโลกหน้าไหว้กว่าหรือดีกว่า แสดงว่าโลกต้องศักดิ์สิทธิ์และมีคุณค่ามากกว่าดวงจันทร์...งั้นลองเอาดินที่อยู่กับพื้นมาถูตามตัวหรือถูที่หน้าดูครับว่าจะดีไหม จะได้รับความศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า??

ถ้าคำตอบคือ ไม่ทำหรอก...มันสกปรก งั้นลองย้อนคิดกลับไปคืนว่าแล้วพระจันทร์ละไม่สกปรกหรือ?? สมควรไหว้หรือไม่ครับ

"ความเชื่อ" โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าน่ากลัวครับ...เพราะได้ชื่อว่า "เชื่อ" แล้วคนเราไม่ได้มีความคิดหรือพิจาณาในเรื่องนั้นๆเลย...สิ่งไหนจริง สิ่งไหนดี หรือสมเหตุสมผลหรือไม่ครับ

****************************

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

ศีล 10

ศีล 10
ถ้าใครเคยไปร่วมงานบวชต่างๆ คงจะเคยเห็นการที่คนรอใส่บาตรพระบวชใหม่ด้วยเงิน ทอง โดยเฉพาะบางพื้นที่มีความเชื่อว่า ใส่เงิน ทอง ให้กับพระบวชใหม่จะได้บุญมาก

ผมยอมรับตามตรงว่าก่อนที่จะได้ศึกษาพระธรรมนั้นเคยใส่เงินในบาตร ในย่ามพระ เช่นกันครับ โดยตอนนั้นไม่ได้รู้อะไรเลย รู้แค่ว่า พ่อ แม่ คนรอบข้างบอกว่าว่าได้บุญ ก็ทำไปครับ

ยิ่งในตอนที่ผมบวชเองด้วยนั้นพอออกจากโบสถ์แล้วก็มารับเงินที่ญาติ โยมคอยมาถวายกัน ก็ไม่รู้เรื่องอีกเช่นกันครับรู้แต่ว่าเขาทำบุญ

แต่ความจริงแล้วนั้นในตอนที่กล่าวคำขอบวช จะมีคำรับเอาศีล 10 เพื่อมาถือปฏิบัติ ครับ ลองหาตามเว็บได้ครับมีคำกล่าวขอบวชให้ศึกษามากมาย

แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าเมื่อผู้บวชกล่าวคำรับศีล 10 เสร็จแล้ว พอออกจากโบสถ์ ก็ทำผิดศีลเลย คือรับเงิน รับทอง เป็นอาบัติเรียบร้อยครับ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 22

สิกขาบท  ๑๐   ในขุททกปาฐะ

[๒]    ข้าพเจ้าสมาทาน   สิกขาบท   คือเจตนางดเว้นจากปาณาติบาต
ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท   คือเจตนางดเว้นจากอทินนาทาน
ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท   คือเจตนางดเว้นจากอพรหมจรรย์
ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท   คือเจตนางดเว้นจากมุสาวาท
ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท   คือเจตนางดเว้นจากที่ตั้งแห่งความประมาท   คือการเสพของเมา   คือสุราเมรัย
ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท   คือเจตนางดเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท   คือเจตนางดเว้นจากการฟ้อนรำ   ขับร้อง   การประโคม  และการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล
ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท   คือเจตนางดเว้นจากจากการลูบไล้  ทัดทรง ประดับประดาดอกไม้ ของหอมอันเป็นลักษณะการแต่งตัว
ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท   คือเจตนางดเว้นจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนสูงใหญ่
ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท   คือเจตนางดเว้นจากการรับทองและเงิน

จบสิกขาบท  ๑๐

ชัดเจนมากๆครับ...พอได้มาทราบแบบนี้แล้วผมเศร้าใจมากๆครับ ลองมองดูนะครับว่าใครกันแน่ที่พากันทำลายศาสนา(จากความไม่รู้)ครับ

****************************

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

เห็นแก่ตัว

เห็นแก่ตัว


เพื่อนๆให้ความหมายของคำว่า "เห็นแก่ตัว" ว่ายังไงกันบ้างครับ

ในความคิดของผม คือ คนเราแทบทุกคนนั้นเห็นแก่ตัวครับ เห็นแก่ตัวอย่างไร

ทุกวันนี้เราทำงาน ทำมาหากิน เพื่อเลี้ยงชีพของตัวเอง เพื่อเลี้ยงครอบครัวของตัวเอง แต่จะมีสักกี่คนที่เลี้ยงผู้อื่น หรือให้ผู้อื่น จากเงิน หรือสิ่งของที่ตัวเองหามาได้ครับ แบบนี้จะเรียกว่า "เห็นแก่ตัว" ได้หรือไม่

ก่อนหน้านี้มีคนถามผมว่างานที่ทำนั้นดีหรอ มีความสุขหรอ เขาคิดว่าเงินเดือนน้อย งานเยอะ และเขามองว่าเราทำงานเกินกว่าค่าจ้างไปหรือเปล่า

  
มันทำให้ผมมานั่งคิดว่า จะมีสักกี่อาชีพกันนะที่ทำเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนเพิ่มเติม...ผมต้องบอกก่อนว่าไม่ได้จะมายกอาชีพของตัวเองให้ดูดีหรือให้สวยหรูแต่อย่างใด

เพื่อนๆลองนั่งคิดดูนะครับว่ามีกี่อาชีพที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือผู้อื่นโดยมีหลักดังนี้ครับ คือ


1.เราทำงานเพื่อแลกเงินในการนำมาเลี้ยงและยังชีพเราแน่นอนอยู่แล้วทุกอาชีพครับ
2.นอกจากเงินเดือนแล้วในตัวของงานนั้นได้มีการช่วยเหลือผู้อื่นโดยที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มเติมจากการทำงานหรือไม่


ตัวอย่างเช่น

1.พวกอาสากู้ภัยต่างๆ เขาอาจจะได้รับเงินหรือไม่ก็ตาม อาจจะได้ข้าวเป็นค่าแรงตอบแทน แต่ในตัวงานที่เขาทำนั้นช่วยเหลือผู้อื่นนอกจากตัวเขาเอง
2.คนกวาดถนน คนงานทำท่อระบายน้ำ เขาได้เงินตอบแทน คนใช้รถใช้ถนนที่สะอาด ฝนตกน้ำไหลสะดวกไม่ท่วมบ้านของชาวบ้าน
3.ทหาร ตำรวจ มีเงินเดือนประจำ ในตัวของงานเองดูแลความปรอดภัยให้กับประชาชน
4.หมอ มีเงินเดือน ช่วยเหลือช่วยชีวิตผู้อื่น
5.Unicef มูลนิธิต่างๆ ผมเคยเห็นมีการรับสมัครงานของ Unicef ครับ ได้เงินเดือน ส่วนตัวงานที่ทำช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกมากมาย
6.Sale Man หรือพวกฝ่ายขายต่างๆ ทำยอดให้กับบริษัท ตัวเองได้รับค่าตอบแทนเพิ่มเติม เจ้านายหรือเจ้าของได้กำไรมากมาย แต่ได้ช่วยเหลือใครบ้างไหมอาจจะต้องแยกตามประเภทกันไป
7.พนักงานบริษัท ทำงานได้รับเงินเดือน ในส่วนตัวงานก็แตกต่างกันออกไป


พอจะมองภาพกันออกไหมครับ แต่นี้คือความคิดเห็นส่วนตัวของผมคนเดียวนะครับ แล้วเพื่อนๆคิดว่ายังไงกันบ้างครับ ลองหามุมดีๆของงานที่เพื่อนๆทำอยู่นะ...ส่วนตัวแล้วงานที่ผมทำอยู่นั้นผมภูมิใจกับมันมากๆครับ ^^


อออออ...เกือบลืมไปครับถึงแม้ว่างานเราอาจจะไม่ได้ช่วยเหลือใคร...แต่เราก็สามารถนำเงินจากที่เราหามาได้แบ่งปันให้กับผู้อื่นได้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือสิ่งของครับ

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

ความเข้าใจผิดของชาวพุทธ(ต่อ)

ความเข้าใจผิดของชาวพุทธ(ต่อ)


2.ชาวพุทธคิดว่าโทษต่างๆจากผลกรรมที่ตนรู้พระพุทธเจ้าเป็นผู้กำหนดโทษเหล่านั้น แต่ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้ที่กำหนดโทษต่างๆแต่ท่านทราบโทษที่เกิดจากกรรมเหล่านั้นแล้วนำมาบอกเฉยๆ ตัวอย่างเช่น ท่านบอกว่า ในสมัยนั้น มีบุคคลนี้ ทำกรรมชนิดนี้ไว้ เมื่อจากภพภูมินั้นไปแล้วได้เสวยกรรมอย่างไร แต่ยังไม่พบว่าถ้าเธอทำกรรมนี้เราจะให้เธอเสวยกรรมแบบนี้

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 596

เรื่องคูถขาทิเปรต

โดยสมัยนั้น   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่    ณ พระเวฬุวันวิหาร
อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต   เขตพระนครราชคฤห์    ครั้งนั้น
ท่านพระลักขณะ กับท่าน พระโมคคัลลานะ. . .
ท่านพระมหาโมคคัลลานะ กล่าวว่า  อาวุโส   ผมลงจากคิชฌกูฏบรรพต
เขตพระนครราชคฤห์นี้   ได้เห็นคูถขาทิเปรตชาย  ผู้จมอยู่ในหลุมคูถท่วมศีรษะ
กำลังเอามือทั้งสองกอบคูถกินอยู่ . . .
ครั้งนั้น   พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย. . . สัตว์นั้นเคยเป็นพราหมณ์ผู้ชั่วช้า    อยู่ในพระนครราชคฤห์ นี้เอง
ครั้งศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า    พราหมณ์นั้น นิมนต์พระภิกษุสงฆ์ด้วย
ภัตตาหารแล้ว   เทคูถลงในรางจนเต็ม   สั่งคนให้ไปบอกภัตกาล   แล้วได้กล่าว
คำนี้ว่า   ขอท่านผู้เจริญทั้งหลาย   จงฉันอาหารและนำไปไห้พอแก่ความต้องการ
จากสถานที่นี้  ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น   เขาหมกไหม้ในนรก   หลายปี   หลาย
ร้อยปี  หลายพันปี  หลายแสนปี   แล้วได้ประสบอัตภาพเช่นนี้    ด้วยวิบากแห่ง
กรรมนั้นแหละ    ซึ่งยังเป็นส่วนเหลืออยู่    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    โมคคัลลานะ
พูดจริง  โมคคัลลานะไม่ต้องอาบัติ.

3.ชาวพุทธโดยเฉพาะคนไทยแยกระหว่างประเพณีและศาสนาไม่ออก จะเห็นได้จากทั่วๆไป ทอดกระฐิน ทอดผ้าป่า งานบุญต่างๆ โดยคิดว่ามันคือการทำบุญแต่ไม่รู้เลยว่าทำแล้วได้จริงไหม ศาสนาเราให้ทำหรือเปล่า สมมุติว่าเราอาศัยอยู่ในประเทศไทยมียาเสพติด แต่เราไม่รู้ว่ามันผิดกฎหมาย ถ้าเกิดเราเสพยาเสพติดนั้น ตำรวจจะจับเราไหม เช่นกัน ศาสนาพุทธละเอียดมาก "กรรม" ทำแล้วได้รับผลแน่นอนแต่อยู่ที่ว่าจะได้ผลที่ดีหรือไม่ดีครับ

****************************

ความเข้าใจผิดของชาวพุทธ

ความเข้าใจผิดของชาวพุทธ


ชาวพุทธเรามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับศาสนาพุทธอยู่หลายอย่างด้วยกัน

1.ชาวพุทธมีความคิดว่าพระพุทธเจ้าเรามีพระองค์เดียว คือ ไม่ทราบว่ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้วนับไม่ถ้วน อย่างพระพุทธเจ้าเราพระองค์นี้พระสมณโคดม พบเจอผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามาแล้ว 23 พระองค์ นับเฉพาะที่ท่านบำเพ็ญบารมีและถูกทำนายว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าในวันข้างหน้า หรือถ้าผู้ใดที่ตั้งความปราถณาที่จะเป็นผู้ที่จะตรัสรู้ในอนาคตก็สามารถเป็นได้แต่ระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมีก็จะยาวนานต่างกันออกไป

พระศาสดาได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า  ๒๓  พระองค์

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 116

๘. เรื่องสญชัย  [๘]

ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน    ทรงปรารภความไม่มา
ของสญชัย      (ปริพาชก )     ซึ่งสองพระอัครสาวกกราบทูลแล้ว     ตรัส
พระธรรมเทศนานี้ว่า  "อสาเร   สารมติโน"  เป็นต้น.  อนุปุพพีกถา
ในเรื่องสญชัยนั้น  ดังต่อไปนี้:-

พระศาสดาได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า  ๒๓  พระองค์

ความพิสดารว่า    ในที่สุด   ๔   อสงไขย     ยิ่งด้วยแสนกัลป์แต่กัลป์
นี้ไป  พระศาสดาของเราทั้งหลาย  เป็นกุมารของพราหมณ์นามว่าสุเมธะ
ในอมรวดีนคร    ถึงความสำเร็จศิลปะทุกอย่างแล้ว     โดยกาลล่วงไปแห่ง
มารดาและบิดา    ทรงบริจาคทรัพย์นับได้หลายโกฏิ     บวชเป็นฤษีอยู่ใน
หิมวันตประเทศ    ทำฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว   ไปโดยอากาศเห็นคน
ถางทางอยู่เพื่อประโยชน์เสด็จ   (ออก)   จากสุทัศนวิหาร   เข้าไปสู่อมร-
วดีนคร      แห่งพระทศพลทรงพระนามว่าทีปังกร      แม้ตนเองก็ถือเอา
ประเทศแห่งหนึ่ง,    เมื่อประเทศนั้น    ยังไม่ทันเสร็จ,    นอนทอดตนให้
เป็นสะพาน  ลาดหนังเสือเหลืองบนเปือกตม  เพื่อพระศาสดาผู้เสด็จมาแล้ว
ด้วยประสงค์ว่า      "ขอพระศาสดาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก    ไม่ต้องทรง
เหยียบเปือกตม    จงทรงเหยียบเราเสด็จไปเถิด"    แต่พอพระศาสดาทอด
พระเนตรเห็น  ก็ทรงพยากรณ์ว่า   "ผู้นี้เป็นพุทธังกูร๑   จักเป็นพระพุทธ-
๑.  หน่อเนื้อ,   เชื้อสาย  แห่งพระพุทธเจ้า.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 117

เจ้าทรงพระนามว่าโคดม      ในที่สุด  ๔  อสงไขย     ยิ่งด้วยแสนกัลป์ใน
อนาคต,"    ในสมัยต่อมาแห่งพระศาสดาพระองค์นั้น    ก็ได้รับพยากรณ์
ในสำนักพระพุทธเจ้า  ๒๓  พระองค์      ซึ่งเสด็จอุบัติขึ้นส่องโลกให้สว่าง
เหล่านี้   คือ  พระโกณฑัญญะ  ๑   พระสุมังคละ ๑  พระสุมนะ ๑  พระ-
เรวตะ ๑    พระโสภิตะ ๑   พระอโนมทัสสี ๑   พระปทุมะ  ๑   พระ-
นารทะ  ๑  พระปทุมุตตระ ๑  พระสุเมธะ ๑   พระสุชาตะ ๑  พระปิย-
ทัสสี ๑   พระอัตถทัสสี ๑   พระธรรมทัสสี ๑  พระสิทธัตถะ ๑  พระ-
ติสสะ ๑    พระปุสสะ  ๑   พระวิปัสสี  ๑    พระสิขี  ๑    พระเวสสภะ  ๑
พระกกุสันธะ  ๑  พระโกนาคมนะ  ๑  พระกัสสปะ  ๑,"  ทรงบำเพ็ญ
บารมีครบ  ๓๐  คือบารมี  ๑๐  อุปบารมี  ๑๐  ปรมัตถบารมี   ๑๐  (ครั้ง)
ดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร  ให้มหาทาน  อันทำแผ่นดินให้ไหว
๗ ครั้ง   ทรงบริจาคพระโอรสและพระชายา.  ในที่สุดพระชนมายุ,  ก็ทรง
อุบัติในดุสิตบุรี   ดำรงอยู่ในดุสิตบุรีนั้น   ตลอดพระชนมายุ,  เมื่อเทวดา
ในหมื่นจักรวาลประชุมกันอาราธนาว่า

"ข้าแต่พระมหาวีระ   กาลนี้    เป็นกาลของพระ-
องค์,    ขอพระองค์  จงเสด็จอุบัติในพระครรภ์พระ-
มารดา    ตรัสรู้อมตบท    ยังโลกนี้กับทั้งเทวโลกให้
ข้ามอยู่."
ทรงเลือกฐานะใหญ่ ๆ    ที่ควรเลือก  ๕      เสด็จจุติจากดุสิตบุรีนั้นแล้ว ***
ทรงถือปฏิสนธิในศากยราชสกุล     อันพระประยูรญาติบำเรออยู่ด้วยมหา-
สมบัติในศากยสกุลนั้น     ทรงถึงความเจริญวัยโดยลำดับ     เสวยสิริราช-
สมบัติในปราสาททั้งสามอันสมควรแก่ฤดูทั้งสามดุจสิริสมบัติในเทวโลก.

***   ฐานใหญ่ที่ควรเลือก  ๕  คือ  ๑.  กาล   ๒.  ประเทศ  ๓.  ทวีป  ๔.  ตระกูล   ๕.  มารดา.

**************************