กล่าวนำและทำความเข้าใจ

กล่าวนำและทำความเข้าใจ

Blog นี้จัดทำขึ้นเนื่องจากการที่ตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักการปฏิบัติตนตามหลักคำสอนอย่างถูกต้อง
เพราะในปัจจุบันคนเราเน้นการทำบุญโดยเอาความสะดวกสบายและง่ายเข้าว่า โดยบ้างครั้งอาจจะผิดหลักคำสอนจนความตั้งใจทำบุญจริงๆนั้นกลายมาเป็นบาป และบ้างครั้งอาจจะหลงผิดใช้เงินกับการทำบุญที่ผิดวิธีจนได้บาปเช่นกัน แต่เราก็สามารถทำบุญอย่างง่ายๆและถูกต้องได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้บุญจริงๆ

บทความใน Blog นี้จึงขอมุ่งเน้นหยิบยกเนื้อหาอ้างอิงจากพระไตรปิฏกเป็นหลักและบทความจากผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฏกอย่างจริงจังที่น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน การทำ Blog นี้มีเจตนาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่สำหรับผู้คนอาจจะพบเห็นและได้ศึกษาธรรมมากขึ้น

"การศึกษาอะไรที่ยิ่งใหญ่ อาจจะมาจากเรื่องที่เราสงสัยเล็กๆเพียงเรื่องเดียว"

***ทั้งนี้เนื้อหาที่ได้ลงไปใน Blog ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณและศึกษาจากพระไตรปิฏกควบคู่ไปด้วยเพราะอาจมีการคลาดเคลื่อนของเนื้อหา เพื่อผู้อ่านจะได้รับความรู้ที่ตรงและถูกต้องที่สุดครับ***

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คิดแบบเหตุผล

คิดแบบเหตุผล



ปฏิเสธไม่ได้จริงๆครับว่าเมืองพุทธอย่างประเทศเรานั้นมีผู้ยึดติดกับสิ่งต่างๆที่เรียกว่า เครื่องรางของขลัง หรือการสักยันต์ ลงของต่างๆ มากมาย  ซึ่งของเหล่านี้อยู่นอกศาสนาพุทธเราครับ  แต่จากที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์เรามาก็ไม่แปลกที่จะมีสิ่งเหล่านี้เข้ามาปนในศาสนาเราครับ

โดยทั่วไปแล้วคนเหล่านั้นมีความเชื่อว่าจะช่วยให้ตนเองไม่เจ็บ ไม่ป่วย หนังเหนียว อยู่ยงคงกระพัน ฟังแทงไม่เข้า หรือเพื่อศิริมงคลครับ

แต่ถ้าเราได้ศึกษาพระธรรมจะทราบว่า

พระพุทธเจ้า ที่เป็นเอกของโลกก็ยังมีการอาพาธ หรือมีการบาดเจ็บพระโลหิตห้อ
พระสารีบุตร ผู้ที่เป็นถึงอัครสาวกเบื้องขวาก็ยังอาพาธจนมรณภาพ
พระโมคคัลลานะ ผู้ที่เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายที่เป็นผู้มีฤทธิ์มากก็ถูกคนทุบจนมรณภาพไป

ทุกวันนี้คนอ้างการใช้เหตุผลในการเชื่อและตัดสินใจ อยากให้ลองใช้เหตุผลกับเรื่องนี้ดูนะครับว่าคิดเห็นกันเช่นไรบ้างครับ


พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 293
พระเทวทัตทำโลหิตุปบาท

[๓๗๒]  สมัยนั้น     พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจงกรมอยู่  ณ  เขาคิชฌ-
กูฏบรรพต   ครั้งนั้น   พระเทวทัตขึ้นสู่คิชฌกูฏบรรพต   แล้วกลิ้งศิลากอันใหญ่
ด้วยหมายใจว่า  จักปลงพระชนม์พระสมณโคดมด้วยศิลานี้   ยอดบรรพตทั้งสอง
น้อมมารับศิลานั้นไว้   สะเก็ดกระเด็นจากศิลานั้นต้องพระบาทของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า  ทำพระโลหิตให้ห้อขึ้นแล้วขณะนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแหงนขึ้น
ไปได้ตรัสกะพระเทวทัตว่า   ดูก่อนโมฆบุรุษ   เธอสั่งสมบาปมิใช่บุญไว้มากนัก
เพราะมีจิตคิดประทุษร้าย   มีจิตคิดฆ่ายังโลหิตของตถาคตให้ห้อขึ้น   ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    นี้จัดเป็น
อนันตริยกรรมข้อที่  ๑  ที่เทวทัตสั่งสมแล้ว    เพราะเธอ    มีจิตคิดประทุษร้าย
มีจิตคิดฆ่า   ทำโลหิตของตถาคตให้ห้อขึ้น
.
.
.

********************************************

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 423
๓.  จุนทสูตร
ว่าด้วยการปรินิพพานของพระสารีบุตร

[๗๓๓]  สมัยหนึ่ง    พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่   ณ  พระวิหาร
เชตวัน  อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี  ใกล้กรุงสาวัตถี. ก็ในสมัยนั้น  ท่าน
พระสารีบุตรอยู่   ณ  บ้านนาลกคาม   ในแคว้นมคธ   อาพาธ   เป็นไข้หนัก
ได้รับทุกขเวทนา.  สามเณรจุนทะเป็นอุปัฏฐากของท่าน.   ครั้งนั้น  ท่านพระ-
สารีบุตรปรินิพพานด้วยอาพาธนั่นแหละ.
.
.
.

********************************************

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 96
พระเถระถูกพวกโจรทุบ

พระเถระ(พระมหาโมคคัลลานเถระ)   ทราบความที่ตนถูกพวกโจรเหล่านั้นล้อมแล้ว    จึงออก
ไปทางช่องลูกกุญแจหลีกไปเสีย.   ในวันนั้น   พวกโจรนั้น  มิได้เห็นพระ-
เถระ.  วันรุ่งขึ้น  จึงไปล้อม (อีก).
พระเถระทราบแล้ว    ก็ทำลายมณฑลช่อฟ้าเหาะไปสู่อากาศ.    เมื่อ
เป็นเช่นนี้   ในเดือนแรกก็ดี  ในเดือนท่ามกลางก็ดี  พวกเดียรถีย์นั้น   ก็
มิได้อาจจับพระเถระได้.   แต่เมื่อมาถึงเดือนสุดท้าย.  พระเถระทราบภาวะ
คือการชักมาแห่งกรรมอันตนทำไว้เเล้ว   จึงมิได้หลบเลี่ยง.
พวกโจรไปจับพระเถระได้แล้ว        ทุบกระดูกทั้งหลายของท่านให้
(แตกยับเป็นชิ้นน้อย)   มีประมาณเท่าเมล็ดข้าวสารหัก.   ทีนั้น  พวกโจร
เหวี่ยงท่านไปที่หลังพุ่มไม้เเห่งหนึ่ง  ด้วยสำคัญว่า ' ตายแล้ว.'  ก็หลีกไป.
.
.
.

********************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น