กล่าวนำและทำความเข้าใจ

กล่าวนำและทำความเข้าใจ

Blog นี้จัดทำขึ้นเนื่องจากการที่ตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักการปฏิบัติตนตามหลักคำสอนอย่างถูกต้อง
เพราะในปัจจุบันคนเราเน้นการทำบุญโดยเอาความสะดวกสบายและง่ายเข้าว่า โดยบ้างครั้งอาจจะผิดหลักคำสอนจนความตั้งใจทำบุญจริงๆนั้นกลายมาเป็นบาป และบ้างครั้งอาจจะหลงผิดใช้เงินกับการทำบุญที่ผิดวิธีจนได้บาปเช่นกัน แต่เราก็สามารถทำบุญอย่างง่ายๆและถูกต้องได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้บุญจริงๆ

บทความใน Blog นี้จึงขอมุ่งเน้นหยิบยกเนื้อหาอ้างอิงจากพระไตรปิฏกเป็นหลักและบทความจากผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฏกอย่างจริงจังที่น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน การทำ Blog นี้มีเจตนาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่สำหรับผู้คนอาจจะพบเห็นและได้ศึกษาธรรมมากขึ้น

"การศึกษาอะไรที่ยิ่งใหญ่ อาจจะมาจากเรื่องที่เราสงสัยเล็กๆเพียงเรื่องเดียว"

***ทั้งนี้เนื้อหาที่ได้ลงไปใน Blog ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณและศึกษาจากพระไตรปิฏกควบคู่ไปด้วยเพราะอาจมีการคลาดเคลื่อนของเนื้อหา เพื่อผู้อ่านจะได้รับความรู้ที่ตรงและถูกต้องที่สุดครับ***

วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

บุคคล ๒ พวกที่กระทำตอบแทนไม่ได้ง่าย

บุคคล  ๒  พวกที่กระทำตอบแทนไม่ได้ง่าย

พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงบุญคุณของ บิดา มารดา ไว้ว่ามากเหลือเกิน และกล่าวถึงการตอบแทนบุญคุณของ บิดา มารดา ไว้ด้วยเช่นกัน ลองอ่านดูนะครับว่าบุญคุณของ บิดา มารดา ที่มีต่อลูกนั้นมากขนาดไหนและเราต้องตอบแทนพวกท่านเช่นไรครับ

บุคคล  ๒  พวกที่กระทำตอบแทนไม่ได้ง่าย

พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 357


[๒๗๘]  ๓๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   เรากล่าวการกระทำตอบแทน
ไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้งสอง   ทั้งสองท่านคือใคร    คือ   มารดา   ๑   บิดา   ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บุตรพึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง  พึ่ง
ประดับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง  เขามีอายุ  มีชีวิต  อยู่ตลอด  ๑๐๐  ปี
และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้งสองนั้นด้วยการอบกลิ่น   การนวด  การให้อาบน้ำ
และการดัด    และท่านทั้งสองนั้น    พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสอง
ของเขานั่นแหละ    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย     การกระทำอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่า
อันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง    บุตรพึงสถาปนาบิดามารดาในราชสมบัติ        อันเป็นอิสราธิปัตย์
ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะ  ๗  ประการมากหลายนี้   การการทำกิจอย่างนั้น
ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย     ข้อนั้น
เพราะเหตุไร   เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก    บำรุงเลี้ยง    แสดงโลกนี้
แก่บุตรทั้งหลาย   ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา   ให้สมาทาน
ตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา    ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล   ให้สมาทานตั้งมั่นในศีล-
สัมปทา  ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่   ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา
ยังมารดาบิดาผู้ทรามปัญญา    ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา   ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย  ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล   การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่า
อันบุตรนั้นทำแล้วและทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา.

จบสูตรที่ ๒

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

จะมั่วตามหาพระอรหันต์นอกบ้านทำไม...ในเมื่อมีพระอรหันต์อยู่ในบ้านแล้ว ???


จะมั่วตามหาพระอรหันต์นอกบ้านทำไม...ในเมื่อมีพระอรหันต์อยู่ในบ้านแล้ว ???



              ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเราตามหาพระอรหันต์กันเพื่อทำบุญเพราะการทำบุญกับพระอรหันต์นั้นได้บุญมาเพราะเป็นเนื้อนาบุญของโลก  แต่ในปัจจุบันนี้หาพระอรหันต์ได้ยากมากเหลือเกิน  แต่ผมเชื่อครับว่าพระอรหันต์ยังมีอยู่ในโลกนี้อยู่  
              แต่ว่าเรากลับมองข้ามพระอรหันต์ในบ้านเราไปครับ คือ พ่อและแม่ ของเรานั้นเอง พระพุทธเจ้าเปรียบพ่อและแม่นั้นดังพระอรหันต์ของลูกเลยทีเดียวครับ  
              ซึ่งบางคนนั้นเราอาจจะไม่เห็นเขาทำบุญเลยแต่กับกันพออยู่บ้านเขาดูแลพ่อแม่เขาอย่างดีนั้นก็เท่ากับว่าเขาได้ทำบุญกับพระอรหันต์ได้บุญมหาศาลมากเลยที่เดียวเมื่อเทียบกับการที่เราไปทำบุญกันแบบผิดเหมือนในปัจจุบันและได้บาปติดมาด้วยครับ  
              ดังนั้นการที่เราทำบุญกับพ่อแม่เรานั้นผมคิดว่าเราได้ผลบุญที่มีโอกาศได้แต่บุญอย่างเดียวโดยไม่ได้บาปติดมาด้วยมากเลยทีเดียวครับ
              สำหรับผู้ที่แสวงหาทำบุญตามวัดต่างๆและพระต่างๆ  ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าพระเหล่านั้นปฏิบัติดีหรือถูกต้องมากน้อยแค่ไหนทำไปแล้วจะได้บุญหรือบาปมากกว่ากัน  ลองกลับมาคิดดูใหม่นะครับว่าเราจะทำกับพระเหล่านั้นหรือกับพ่อแม่เราดี  ซึ่ง พ่อ-แม่ เปรียบเหมือนกับแหล่งปั่นหุ้นบุญขนาดใหญ่ประจำบ้านเรา และพระพุทธเจ้ายังเปรียบท่านเหมือนกับมีพรหม  มีบุรพเทวดา อยู่ในบ้านโดยไม่ต้องหาสิ่งศักสิทธิ์ใดมาไว้ในบ้านเลยนะครับ ลองคิดกันดูก่อนที่จะไม่มีโอกาศกันนะครับ


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 671

เทพ ๓ เหล่า

เทพ ๓ เหล่า คือ สมมติเทพ  (เทวดาโดยสมมติ) ๑  อุปปัตติเทพ
(เทวดาโดยกำเนิด) ๑  วิสุทธิเทพ  (เทวดาโดยความบริสุทธิ์ ) ๑  ชื่อว่าเทพ
ในคำว่า  ปุพฺพเทวา  นี้.   บรรดาเทพ  ๓  จำพวกเหล่านั้น      กษัตริย์ผู้เป็น
พระราชา    ชื่อว่า  สมมติเทพ.    เพราะว่า  กษัตริย์ผู้เป็นพระราชาเหล่านั้น
ที่ชาวโลกเรียกกันว่า  เทพ  (และ)   เทพี    เป็นผู้ทรงข่มและทรงอนุเคราะห์
ชาวโลกได้เหมือนเทพเจ้า.    เหล่าสัตว์ที่อุบัติขึ้นในเทวโลก     ตั้งแต่เทพชั้น
จาตุมมหาราชิกา   จนถึงภวัคคพรหม   ชื่อว่า   อุปปัตติเทพ.    พระขีณาสพ
ชื่อว่า   วิสุทธิเทพ   เพราะหมดจดจากกิเลสทั้งมวล.   ในข้อนั้นมีอรรถพจน์
ดังต่อไปนี้.  เหล่าสัตว์ชื่อว่าเทพ  เพราะเล่น,  สนุกสนาน,  เฮฮา,  รุ่งเรื่องอยู่
และชนะฝ่ายตรงข้าม.
บรรดาเทพ ๓ จำพวกเหล่านั้น  วิสุทธิเทพประเสริฐกว่าเทพทุกเหล่า.
วิสุทธิเทพเหล่านั้นมุ่งแต่ความเสื่อมไปแห่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์     และการ
เกิดขึ้นแห่งประโยชน์แก่เขาเหล่านั้น    โดยส่วนเดียว    ไม่คำนึงถึงความผิดที่
พาลชนทำไว้เลย    ปฏิบัติเพื่อประโยชน์  เพื่อเกื้อกูล   เพื่อความสุข  โดยการ
ประกอบพรหมวิหารธรรมตามที่กล่าวแล้ว  และนำความที่สักการะมีผลมากและ
อานิสงส์มากมายมาให้ชนเหล่านั้น      เพราะเป็นทักขิไณยบุคคล  ฉันใด    แม้
มารดาบิดาทั้งหลาย   ก็เช่นนั้น  เหมือนกัน    มุ่งแต่ความเสื่อมไปแห่งสิ่งที่ไม่เป็น
ประโยชน์    และการเกิดขึ้นแห่งประโยชน์แก่เขาเหล่านั้น    โดยส่วนเดียว   ไม่
คำนึงถึงความผิดของบุตรทั้งหลาย   เป็นทักขิไณยบุคคลผู้ยอดเยี่ยม  ปฏิบัติอยู่
เพื่อประโยชน์   เพื่อเกื้อกูล  เพื่อความสุข    เพราะได้พรหมวิหารทั้ง  ๔  อย่าง
โดยนัยที่ได้กล่าวมาแล้ว  นำมาซึ่งความที่อุปการะที่บุตรทำแล้วในตนให้เป็น
อุปการะมีผลานิสงส์มากมาย.   และมารดาบิดาเหล่านั้นเป็นเทพมาแต่ต้นทีเดียว
เพราะมีอุปการะแก่บุตรเหล่านั้น  ก่อนกว่าเทพทั้งมวล. เพราะเหตุนี้   บุตรเหล่านั้น
รู้จักเทพเหล่าอื่นว่าเป็นเทพ  ให้เทพเหล่านั้นพอใจ  เข้าไปนั่งใกล้เทพเหล่านั้น
ครั้นรู้วิธีให้เทพพอใจแล้ว  ปฏิบัติอยู่อย่างนั้น     ก็ได้ประสบผลของข้อปฏิบัตินั้น
ด้วยอำนาจของมารดาบิดาเหล่านั้นก่อน    ฉะนั้น     เทพเหล่าอื่นนั้น    จึงชื่อว่า
เป็นปัจฉาเทพ  (เทพองค์หลัง).  ด้วยเหตุนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า