กล่าวนำและทำความเข้าใจ
กล่าวนำและทำความเข้าใจ
Blog นี้จัดทำขึ้นเนื่องจากการที่ตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักการปฏิบัติตนตามหลักคำสอนอย่างถูกต้อง
เพราะในปัจจุบันคนเราเน้นการทำบุญโดยเอาความสะดวกสบายและง่ายเข้าว่า โดยบ้างครั้งอาจจะผิดหลักคำสอนจนความตั้งใจทำบุญจริงๆนั้นกลายมาเป็นบาป และบ้างครั้งอาจจะหลงผิดใช้เงินกับการทำบุญที่ผิดวิธีจนได้บาปเช่นกัน แต่เราก็สามารถทำบุญอย่างง่ายๆและถูกต้องได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้บุญจริงๆ
บทความใน Blog นี้จึงขอมุ่งเน้นหยิบยกเนื้อหาอ้างอิงจากพระไตรปิฏกเป็นหลักและบทความจากผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฏกอย่างจริงจังที่น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน การทำ Blog นี้มีเจตนาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่สำหรับผู้คนอาจจะพบเห็นและได้ศึกษาธรรมมากขึ้น
"การศึกษาอะไรที่ยิ่งใหญ่ อาจจะมาจากเรื่องที่เราสงสัยเล็กๆเพียงเรื่องเดียว"
***ทั้งนี้เนื้อหาที่ได้ลงไปใน Blog ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณและศึกษาจากพระไตรปิฏกควบคู่ไปด้วยเพราะอาจมีการคลาดเคลื่อนของเนื้อหา เพื่อผู้อ่านจะได้รับความรู้ที่ตรงและถูกต้องที่สุดครับ***
วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
พุทธแบบไหน???
พุทธแบบไหน???
ทุกวันนี้การที่เราพูดคุยเรื่องศาสนากับใครนั้นผมรู้สึกว่าอยู่ยากมาก...ทำให้ผมรู้ว่าชาวพุทธในเมืองไทยนั้นมีความรู้เรื่องศาสนาน้อยมากจริงๆ
ในการที่เราพูดให้ตรงกับหลักธรรมที่มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกนั้นกลายเป็นว่าเราเป็นคนที่คิดมากเกินไป อะไรก็เกินไป และจบตรงคำว่าแล้วแต่คนเชื่อ...ซึ่งผมไม่เข้าใจเลยว่าทั้งที่เราพูดอยู่ว่านับถือพุทธ เป็นชาวพุทธ แต่พอพูดตรงตามหลักธรรมแล้วกลายเป็นว่าเรานั้นทำตัวแปลกไปจากคนอื่น...แต่คิดๆดูก่อนหน้าที่ผมจะได้มาศึกษาก็คงเป็นคนในจำพวกนี้เหมือนกัน
เพื่อนผมบางคนก็คิดว่าหลักคำสอนในพระไตรปิฏกเป็นเรื่องของทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งผมมานั่งคิดเทียบดูแล้ว จะมีใครที่รวยมากขนาดเป็นทายาทกษัตริย์ มาสละราชสมบัติออกบวช หรือคนในสมัยพุทธกาลมีหลายคนที่ออกบวช ทั้งที่รวย ทั้งที่มั่งมี ก็ทิ้งสมบัติออกบวชเยอะแยะ
หรือแม้กระทั้งศีลที่บัญญัติไว้จะบัญญัติเพื่อบีบคั้นตัวท่านและสาวกทำไม ไม่ว่าจะฉันอาหารได้วันละ 1 มื้อ ห้ามรับเงินทอง ซึ่งถ้าได้ศึกษาจริงๆแล้วจะรู้ว่าการที่จะรักษาศีลได้ครบจริงๆนั้นยากมาก เพราะเยอะเหลือเกิน
อย่าว่าแต่เรื่องราวในพระไตรปิฏกมีจริงไหมหรือไม่มีจริงเลย ถ้าผู้ใดที่ปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้ก็น่านับถือมากๆแล้ว...แล้วที่สำคัญในปัจจุบันยังมีพระอริยผู้ได้มรรคได้ผลอยู่ มีผู้คนมากมายที่ตามหาเพื่อจะทำบุญด้วยอยู่ นี้ก็น่าจะเป็นหลักฐานอย่างดีที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน
เพื่อนผมบางคนบอกว่ามึงอะ คิดมากไป พออธิบายให้ฟังก็มาจบที่คำเดิมว่ามันแล้วแต่คน"เชื่อ"
เรื่องความเชื่อโดยส่วนตัวผมแล้วก็ตัวใครตัวมันว่าใครจะเชื่ออย่างไร แต่ถ้าถามผมและพูดเรื่องศาสนาพุทธ ผมก็ตอบไปตามที่พุทธสอนไว้และที่ผมได้ศึกษามา ว่าเป็นแบบไหน...แต่กลับกลายเป็นว่าเราเป็นคนที่ผิด มีความคิดที่ผิดไป
"เราเห็นกองไฟอยู่หน้าเรา เรารู้อยู่ว่าไฟมันร้อน เราจะเดินเข้ากองไฟไหม หรือทั้งๆที่รู้ก็ยังเดินเข้าไป"
ถ้ามีใครถามว่านับถืออะไร ผมตอบได้เลยว่านับถือพุทธ แต่ พุทธ ของผมนั้นคือ
พระศาสดาของศาสนาพุทธที่ผมนับถือนั้น ห้ามพระรับเงิน ทอง
พระศาสดาของศาสนาพุทธที่ผมนับถือนั้น ห้ามพระซื้อขายของ
พระศาสดาของศาสนาพุทธที่ผมนับถือนั้น ห้ามพระฉันสองมื้อ ให้ฉันมื้อเดียว
พระศาสดาของศาสนาพุทธที่ผมนับถือนั้น ห้ามพระรับบิณฑบาต เกินกว่าที่จะฉันหมด
พระศาสดาของศาสนาพุทธที่ผมนับถือนั้น ห้ามกักตุนอาหาร
พระศาสดาของศาสนาพุทธที่ผมนับถือนั้น ห้ามพระดูดวง ดูฤกษ์
พระศาสดาของศาสนาพุทธที่ผมนับถือนั้น ห้ามพระรดน้ำมนต์
พระศาสดาของศาสนาพุทธที่ผมนับถือนั้น ห้ามจัดงานรื่นเริงในวัด
พระศาสดาของศาสนาพุทธที่ผมนับถือนั้น ให้ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ไม่ได้ให้ถือรูปเป็นที่พึ่ง
พระศาสดาของศาสนาพุทธที่ผมนับถือนั้น สอนสิ่งต่างๆไว้อีกมากมายรวมๆแล้ว 84,000 พระธรรมขันธ์
พระศาสดาของศาสนาพุทธที่ผมนับถือนั้น มีพระนามว่าพระสมณโคดม
พระศาสดาของศาสนาพุทธที่ผมนับถือนั้น ก่อนตรัสรู้มีพระนามว่าเจ้าชายสิทธัตถะ
แล้วศาสนาพุทธของพวกคุณละพระศาสดาพระนามว่าอะไรและสอนอะไรบ้าง?????
****************************
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559
ธุรกิจฌาปนกิจ
ธุรกิจฌาปนกิจ
ปัจจุบันพิธีการฌาปนกิจนั้นกลายเป็นธุรกิจแบบเต็มตัวไปแล้ว มีคนเกิดและตายทุกๆวัน ก่อนหน้านี้ที่บ้านผมได้สูญเสียญาติไป พอโตมาเลยมีบทบาทในการช่วยเหลือทางบ้านได้หลายอย่างและได้รู้ถึงค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในาการจัดงานตามแบบ
ประเพณีโลกทำกัน ขนาดผมอยู่ที่ต่างจังหวัด จัดพิธีเพียง 5 วัน หมดค่าใช้จ่ายไปถึง 6 หลักด้วยกัน ตกแล้ววันหลักหมื่นบาท แล้วแบบนี้จะไม่ทำให้วัดรวยได้อย่างไร และมีอยู่คำที่เราจะได้ยินกันประจำว่า "ถวายปัจจัย" หรือ "ถวายเงิน" เกิดขึ้นมาได้อย่างไรในเมื่อในพระวินัยพระห้ามรับเงิน
ถ้ามองในแง่ศาสนาจริงๆแล้วยังไงก็ผิดแน่นอนครับ ทั้งถวายเงินพระ ทั้งฉันเพล...แต่ถ้ามองในแง่ประเพณีโลกก็สะดวกสบายดีมีเงินจ่ายก็พอ
***แต่ยังไงผิดก็คือผิดครับ***
ในช่วงเวลา 5 วันที่ผมอยู่ในงานก็ได้มาลองนั่งนึกๆดูเป็นแค่ความคิดส่วนตัวนะครับว่า
1.ถ้าเกิดเราตัดพระออกไปโดยไม่มีพระเข้ามายุ่งเกี่ยว...ศพก็จัดการเผาไป...แล้วทำการเลี้ยงอาหารแขกที่มารวมแสดงความเสียใจโดยเลี้ยงที่บ้าน หรือเลี้ยงบุคคลทั่วๆไปในที่ต่างๆ อาจจะที่ยากไร้ หรือด้วยโอกาศ จำนวนกี่วันก็ว่ากันไป แล้วทำการอุทิศบุญให้แก่ผู้ตาย บุญที่เกิดขึ้นนั้นก็จะมากมายขนาดไหนโดยที่ไม่ต้องยุ่งกับพระให้บาปด้วย
2.หรืออาจจะหาพระที่รักษาศีลดีมาเทศแต่ไม่ต้องถวายเงิน แต่ก็คงเป็นไปได้ยากมากๆๆ ในสมัยนี้
พออ่านมาถึงตรงนี้คงคิดว่าผมนั้นแปลกหรือไม่ก็บ้า หรืออาจจะทำไมไม่ทำละ...ได้แต่พูด!!!....ครับต้องบอกว่ามันยากจริงๆที่จะทำเพราะโลกเปลี่ยนไปจากหลักธรรมไกลมากๆๆแล้วครับ ยิ่งประเทศไทยที่ถือผสมกันหลายๆอย่าง
แต่อย่าลืมนะครับว่าทำบุญกับพระผู้ทุศีลไม่มีบุญออก และ ในสมัยพุทธกาลพระอริยผู้ที่หลุดพ้นพระศาสดาให้พระช่วยกันยกไปเผาโดยไม่ได้ยุ่งยากอะไรก็มีครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 127
.
.
.
[๕๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน
แม่โคลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต ครั้นพระผู้มี-
พระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวบิณฑบาตนพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาต
ในเวลาปัจฉาภัต เสด็จออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก ได้
ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะทำกาละแล้ว จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะ
ยกขึ้นสู่เตียงแล้ว จงนำไปเผาเสีย แล้วจงทำสถูปไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอกับท่านทั้งหลาย ทำกาละ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 128
แล้ว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ช่วยกันยกสรีระของ
พระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง แล้วนำไปเผา และทำสถูปไว้ แล้วเข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สรีระของพาทิย-
ทารุจีริยะ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผาแล้ว และสถูปของพาหิยทารุจีริยะนั้น
ข้าพระองค์ทั้งหลายทำไว้แล้ว คติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเป็นอย่างไร ภพ
เบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร.
พระผู้มีพระภาณเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะ.
เป็นบัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม. ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะ
เหตุแห่งการแสดงธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะปรินิพพาน
แล้ว .
****************************
ปัจจุบันพิธีการฌาปนกิจนั้นกลายเป็นธุรกิจแบบเต็มตัวไปแล้ว มีคนเกิดและตายทุกๆวัน ก่อนหน้านี้ที่บ้านผมได้สูญเสียญาติไป พอโตมาเลยมีบทบาทในการช่วยเหลือทางบ้านได้หลายอย่างและได้รู้ถึงค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในาการจัดงานตามแบบ
ประเพณีโลกทำกัน ขนาดผมอยู่ที่ต่างจังหวัด จัดพิธีเพียง 5 วัน หมดค่าใช้จ่ายไปถึง 6 หลักด้วยกัน ตกแล้ววันหลักหมื่นบาท แล้วแบบนี้จะไม่ทำให้วัดรวยได้อย่างไร และมีอยู่คำที่เราจะได้ยินกันประจำว่า "ถวายปัจจัย" หรือ "ถวายเงิน" เกิดขึ้นมาได้อย่างไรในเมื่อในพระวินัยพระห้ามรับเงิน
ถ้ามองในแง่ศาสนาจริงๆแล้วยังไงก็ผิดแน่นอนครับ ทั้งถวายเงินพระ ทั้งฉันเพล...แต่ถ้ามองในแง่ประเพณีโลกก็สะดวกสบายดีมีเงินจ่ายก็พอ
***แต่ยังไงผิดก็คือผิดครับ***
ในช่วงเวลา 5 วันที่ผมอยู่ในงานก็ได้มาลองนั่งนึกๆดูเป็นแค่ความคิดส่วนตัวนะครับว่า
1.ถ้าเกิดเราตัดพระออกไปโดยไม่มีพระเข้ามายุ่งเกี่ยว...ศพก็จัดการเผาไป...แล้วทำการเลี้ยงอาหารแขกที่มารวมแสดงความเสียใจโดยเลี้ยงที่บ้าน หรือเลี้ยงบุคคลทั่วๆไปในที่ต่างๆ อาจจะที่ยากไร้ หรือด้วยโอกาศ จำนวนกี่วันก็ว่ากันไป แล้วทำการอุทิศบุญให้แก่ผู้ตาย บุญที่เกิดขึ้นนั้นก็จะมากมายขนาดไหนโดยที่ไม่ต้องยุ่งกับพระให้บาปด้วย
2.หรืออาจจะหาพระที่รักษาศีลดีมาเทศแต่ไม่ต้องถวายเงิน แต่ก็คงเป็นไปได้ยากมากๆๆ ในสมัยนี้
พออ่านมาถึงตรงนี้คงคิดว่าผมนั้นแปลกหรือไม่ก็บ้า หรืออาจจะทำไมไม่ทำละ...ได้แต่พูด!!!....ครับต้องบอกว่ามันยากจริงๆที่จะทำเพราะโลกเปลี่ยนไปจากหลักธรรมไกลมากๆๆแล้วครับ ยิ่งประเทศไทยที่ถือผสมกันหลายๆอย่าง
แต่อย่าลืมนะครับว่าทำบุญกับพระผู้ทุศีลไม่มีบุญออก และ ในสมัยพุทธกาลพระอริยผู้ที่หลุดพ้นพระศาสดาให้พระช่วยกันยกไปเผาโดยไม่ได้ยุ่งยากอะไรก็มีครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 127
.
.
.
[๕๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน
แม่โคลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต ครั้นพระผู้มี-
พระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวบิณฑบาตนพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาต
ในเวลาปัจฉาภัต เสด็จออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก ได้
ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะทำกาละแล้ว จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะ
ยกขึ้นสู่เตียงแล้ว จงนำไปเผาเสีย แล้วจงทำสถูปไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอกับท่านทั้งหลาย ทำกาละ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 128
แล้ว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ช่วยกันยกสรีระของ
พระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง แล้วนำไปเผา และทำสถูปไว้ แล้วเข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สรีระของพาทิย-
ทารุจีริยะ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผาแล้ว และสถูปของพาหิยทารุจีริยะนั้น
ข้าพระองค์ทั้งหลายทำไว้แล้ว คติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเป็นอย่างไร ภพ
เบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร.
พระผู้มีพระภาณเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะ.
เป็นบัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม. ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะ
เหตุแห่งการแสดงธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะปรินิพพาน
แล้ว .
****************************
วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559
ปาราชิก
วันก่อนผมได้เปิดไปเจอข่าวเกี่ยวกับพระเล่นการพนัน ซึ่งพิธีกรในรายการนั้นได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวออกมาเรื่องความไม่เหมาะสม และบอกว่าโดยส่วนตัวเขาแล้วคิดว่าพระทำแบบนี้น่าจะถึงขั้นปาราชิก
ซึ่งในพระวินัยนี้โทษของการปาราชิกนั้นมีอยู่ 4 อย่างคือ
1.เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉาน (ร่วมสัมพันธ์ทางเพศกับมนุษย์ หรืออมนุษย์ หรือสัตว์ แม้แต่ซากศพก็ไม่ละเว้น)
2.ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) ได้ราคา 5 มาสก (5 มาสกเท่ากับ 1 บาททองคำ)
3.พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) แสวงหาและใช้เครื่องมือกระทำเอง หรือจ้างวานฆ่าคน หรือพูดพรรณาคุณแห่งความตายให้คนนั้น ๆ ยินดีที่จะตาย (โดยมีเจตนาหวังให้ตาย) ไม่เว้นแม้แต่การแท้งเด็กในครรภ์
4.กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริง อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)ยกเว้นสำคัญตนผิด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%81
จากเรื่องนี้ผมเลยได้ข้อคิดว่า ชาวพุทธเรายังศึกษากันน้อยมากๆ ประกอบกับใส่ความเห็นส่วนตัวเข้าไป ยิ่งทำให้คลาดเคลื่อนไปกันใหญ่
ผมดีใจที่ชาวพุทธเรารักพระพุทธศาสนา แต่ควรจะรักและศึกษาให้ตรงตามหลักธรรม ยิ่งถ้าเป็นผู้ที่ต้องทำหน้าที่พูดหรือแสดงความเห็นเรื่องศาสนาแล้วควรจะยิ่งมีความรู้ในระดับที่มากพอสมควรเลยครับไม่งั้นใครมาฟังเข้าจะเข้าใจผิดไปตาม
อย่างเช่นผมเคยดูรายการที่ถามและตอบปัญหากับพระ แต่การตอบปัญหาของพระนั้นไม่ได้นำหลักธรรมมาตอบอย่างที่ควรจะเป็นเลย ตอบตามความคิดเห็นส่วนตัวของพระมากกว่า จริงๆแล้วน่าจะยกเทียบกับหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนน่าจะเหมาะสมกว่า หรือไม่พระผู้ตอบอาจจะมีความรู้เรื่องหลักธรรมยังไม่ทั่วถึงก็เป็นไปได้
จนทำให้พบเห็นกันได้อยู่ทุกๆวันครับว่าชาวพุทธนั้นเข้าใจผิด และทำผิดกันมากๆเลยครับ
ส่วนตัวผมเองก็ยังไม่ได้เก่งหรือมีความรู้ทั่วถึงขนาดนั้นเช่นกันครับ ก็พยายามที่จะศึกษาและแก้ไขให้เข้าและตรงตามหลักธรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยๆตัวผมเองก็ถือว่าวิธีนี้น่าจะเป็นการรักษาพระพุทธศาสนาจริงๆครับ
"ถ้าเราจะดูแลรักษาต้นไม้สักต้นให้เจริญงอกงาม...แต่เราไม่ได้ศึกษาว่าเป็นต้นอะไร...ดูแลรักษายังไง...แล้วดูแลรักษาตามแบบที่ตัวเองคิด...ต้นไม้นั้นจะตายลงหรือจะเจริญเติบโต"
****************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)