กล่าวนำและทำความเข้าใจ

กล่าวนำและทำความเข้าใจ

Blog นี้จัดทำขึ้นเนื่องจากการที่ตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักการปฏิบัติตนตามหลักคำสอนอย่างถูกต้อง
เพราะในปัจจุบันคนเราเน้นการทำบุญโดยเอาความสะดวกสบายและง่ายเข้าว่า โดยบ้างครั้งอาจจะผิดหลักคำสอนจนความตั้งใจทำบุญจริงๆนั้นกลายมาเป็นบาป และบ้างครั้งอาจจะหลงผิดใช้เงินกับการทำบุญที่ผิดวิธีจนได้บาปเช่นกัน แต่เราก็สามารถทำบุญอย่างง่ายๆและถูกต้องได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้บุญจริงๆ

บทความใน Blog นี้จึงขอมุ่งเน้นหยิบยกเนื้อหาอ้างอิงจากพระไตรปิฏกเป็นหลักและบทความจากผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฏกอย่างจริงจังที่น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน การทำ Blog นี้มีเจตนาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่สำหรับผู้คนอาจจะพบเห็นและได้ศึกษาธรรมมากขึ้น

"การศึกษาอะไรที่ยิ่งใหญ่ อาจจะมาจากเรื่องที่เราสงสัยเล็กๆเพียงเรื่องเดียว"

***ทั้งนี้เนื้อหาที่ได้ลงไปใน Blog ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณและศึกษาจากพระไตรปิฏกควบคู่ไปด้วยเพราะอาจมีการคลาดเคลื่อนของเนื้อหา เพื่อผู้อ่านจะได้รับความรู้ที่ตรงและถูกต้องที่สุดครับ***

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

ธุรกิจฌาปนกิจ

ธุรกิจฌาปนกิจ


ปัจจุบันพิธีการฌาปนกิจนั้นกลายเป็นธุรกิจแบบเต็มตัวไปแล้ว มีคนเกิดและตายทุกๆวัน ก่อนหน้านี้ที่บ้านผมได้สูญเสียญาติไป พอโตมาเลยมีบทบาทในการช่วยเหลือทางบ้านได้หลายอย่างและได้รู้ถึงค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในาการจัดงานตามแบบ

ประเพณีโลกทำกัน ขนาดผมอยู่ที่ต่างจังหวัด จัดพิธีเพียง 5 วัน หมดค่าใช้จ่ายไปถึง 6 หลักด้วยกัน ตกแล้ววันหลักหมื่นบาท แล้วแบบนี้จะไม่ทำให้วัดรวยได้อย่างไร และมีอยู่คำที่เราจะได้ยินกันประจำว่า "ถวายปัจจัย" หรือ "ถวายเงิน" เกิดขึ้นมาได้อย่างไรในเมื่อในพระวินัยพระห้ามรับเงิน

ถ้ามองในแง่ศาสนาจริงๆแล้วยังไงก็ผิดแน่นอนครับ ทั้งถวายเงินพระ ทั้งฉันเพล...แต่ถ้ามองในแง่ประเพณีโลกก็สะดวกสบายดีมีเงินจ่ายก็พอ

***แต่ยังไงผิดก็คือผิดครับ***

ในช่วงเวลา 5 วันที่ผมอยู่ในงานก็ได้มาลองนั่งนึกๆดูเป็นแค่ความคิดส่วนตัวนะครับว่า

1.ถ้าเกิดเราตัดพระออกไปโดยไม่มีพระเข้ามายุ่งเกี่ยว...ศพก็จัดการเผาไป...แล้วทำการเลี้ยงอาหารแขกที่มารวมแสดงความเสียใจโดยเลี้ยงที่บ้าน หรือเลี้ยงบุคคลทั่วๆไปในที่ต่างๆ อาจจะที่ยากไร้ หรือด้วยโอกาศ จำนวนกี่วันก็ว่ากันไป แล้วทำการอุทิศบุญให้แก่ผู้ตาย บุญที่เกิดขึ้นนั้นก็จะมากมายขนาดไหนโดยที่ไม่ต้องยุ่งกับพระให้บาปด้วย

2.หรืออาจจะหาพระที่รักษาศีลดีมาเทศแต่ไม่ต้องถวายเงิน แต่ก็คงเป็นไปได้ยากมากๆๆ ในสมัยนี้

พออ่านมาถึงตรงนี้คงคิดว่าผมนั้นแปลกหรือไม่ก็บ้า หรืออาจจะทำไมไม่ทำละ...ได้แต่พูด!!!....ครับต้องบอกว่ามันยากจริงๆที่จะทำเพราะโลกเปลี่ยนไปจากหลักธรรมไกลมากๆๆแล้วครับ ยิ่งประเทศไทยที่ถือผสมกันหลายๆอย่าง

แต่อย่าลืมนะครับว่าทำบุญกับพระผู้ทุศีลไม่มีบุญออก และ ในสมัยพุทธกาลพระอริยผู้ที่หลุดพ้นพระศาสดาให้พระช่วยกันยกไปเผาโดยไม่ได้ยุ่งยากอะไรก็มีครับ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 127
.
.
.
[๕๐]  ครั้งนั้นแล  เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน
แม่โคลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต    ครั้นพระผู้มี-
พระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวบิณฑบาตนพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาต
ในเวลาปัจฉาภัต    เสด็จออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก   ได้
ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะทำกาละแล้ว   จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย     ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะ
ยกขึ้นสู่เตียงแล้ว   จงนำไปเผาเสีย   แล้วจงทำสถูปไว้  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอกับท่านทั้งหลาย  ทำกาละ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 128

แล้ว    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว   ช่วยกันยกสรีระของ
พระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง  แล้วนำไปเผา  และทำสถูปไว้   แล้วเข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ   ได้นั่งอยู่  ณ ที่ควรข้างหนึ่ง  ครั้นแล้ว
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   สรีระของพาทิย-
ทารุจีริยะ   ข้าพระองค์ทั้งหลายเผาแล้ว    และสถูปของพาหิยทารุจีริยะนั้น
ข้าพระองค์ทั้งหลายทำไว้แล้ว  คติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเป็นอย่างไร  ภพ
เบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร.
พระผู้มีพระภาณเจ้าตรัสว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    พาหิยทารุจีริยะ.
เป็นบัณฑิต  ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.  ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก   เพราะ
เหตุแห่งการแสดงธรรม  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พาหิยทารุจีริยะปรินิพพาน
แล้ว .

****************************

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

ปาราชิก



วันก่อนผมได้เปิดไปเจอข่าวเกี่ยวกับพระเล่นการพนัน ซึ่งพิธีกรในรายการนั้นได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวออกมาเรื่องความไม่เหมาะสม และบอกว่าโดยส่วนตัวเขาแล้วคิดว่าพระทำแบบนี้น่าจะถึงขั้นปาราชิก

ซึ่งในพระวินัยนี้โทษของการปาราชิกนั้นมีอยู่ 4 อย่างคือ

1.เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉาน (ร่วมสัมพันธ์ทางเพศกับมนุษย์ หรืออมนุษย์ หรือสัตว์ แม้แต่ซากศพก็ไม่ละเว้น)
2.ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) ได้ราคา 5 มาสก (5 มาสกเท่ากับ 1 บาททองคำ)
3.พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) แสวงหาและใช้เครื่องมือกระทำเอง หรือจ้างวานฆ่าคน หรือพูดพรรณาคุณแห่งความตายให้คนนั้น ๆ ยินดีที่จะตาย (โดยมีเจตนาหวังให้ตาย) ไม่เว้นแม้แต่การแท้งเด็กในครรภ์
4.กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริง อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)ยกเว้นสำคัญตนผิด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%81

จากเรื่องนี้ผมเลยได้ข้อคิดว่า ชาวพุทธเรายังศึกษากันน้อยมากๆ ประกอบกับใส่ความเห็นส่วนตัวเข้าไป ยิ่งทำให้คลาดเคลื่อนไปกันใหญ่

ผมดีใจที่ชาวพุทธเรารักพระพุทธศาสนา แต่ควรจะรักและศึกษาให้ตรงตามหลักธรรม ยิ่งถ้าเป็นผู้ที่ต้องทำหน้าที่พูดหรือแสดงความเห็นเรื่องศาสนาแล้วควรจะยิ่งมีความรู้ในระดับที่มากพอสมควรเลยครับไม่งั้นใครมาฟังเข้าจะเข้าใจผิดไปตาม

อย่างเช่นผมเคยดูรายการที่ถามและตอบปัญหากับพระ แต่การตอบปัญหาของพระนั้นไม่ได้นำหลักธรรมมาตอบอย่างที่ควรจะเป็นเลย ตอบตามความคิดเห็นส่วนตัวของพระมากกว่า จริงๆแล้วน่าจะยกเทียบกับหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนน่าจะเหมาะสมกว่า หรือไม่พระผู้ตอบอาจจะมีความรู้เรื่องหลักธรรมยังไม่ทั่วถึงก็เป็นไปได้

จนทำให้พบเห็นกันได้อยู่ทุกๆวันครับว่าชาวพุทธนั้นเข้าใจผิด และทำผิดกันมากๆเลยครับ

ส่วนตัวผมเองก็ยังไม่ได้เก่งหรือมีความรู้ทั่วถึงขนาดนั้นเช่นกันครับ ก็พยายามที่จะศึกษาและแก้ไขให้เข้าและตรงตามหลักธรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยๆตัวผมเองก็ถือว่าวิธีนี้น่าจะเป็นการรักษาพระพุทธศาสนาจริงๆครับ

"ถ้าเราจะดูแลรักษาต้นไม้สักต้นให้เจริญงอกงาม...แต่เราไม่ได้ศึกษาว่าเป็นต้นอะไร...ดูแลรักษายังไง...แล้วดูแลรักษาตามแบบที่ตัวเองคิด...ต้นไม้นั้นจะตายลงหรือจะเจริญเติบโต"

****************************